กองทุนรวม
ทิสโก้ ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะขยับพอร์ตลงทุนเปิดโอกาสเพิ่มผลตอบแทน พร้อมส่ง "ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%" ตอบโจทย์การลงทุน


ทิสโก้ ชี้เศรษฐกิจโลกทิศทางสดใส เอเชียยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ชูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่อง เหมาะจับจังหวะเข้าไปลงทุนเปิดโอกาสรับผลตอบแทน หลังตัวเลขดัชนีต่างๆ  อาทิ  ตัวเลขการจ้างงาน ภาคการผลิต รวมทั้งการบริโภค ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง คาดส่งผลให้ดัชนี S&P 500 มีโอกาสปรับขึ้นแตะ 1,800 จุด    พร้อมส่ง “ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8%” ตอบโจทย์การลงทุน เสนอขายครั้งเดียว 22–30 เม.ย. 55 ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือธนาคารทิสโก้ทุกสาขา  ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท

ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้   โดย  ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ  หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้  (Dr.Kampon Adireksombat, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Financial Group Plc.)  เปิดเผยว่า  ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 1 ปี 2556 ที่ผ่านมา  มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น  แม้ว่าเศรษฐกิจยุโรปยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง แต่คาดว่าจะหยุดการชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง โดยความเสี่ยงยังคงเป็นปัญหาทางการเมืองในอิตาลี นอกจากนี้ตลาดยังมีความกังวลว่ายุโรปอาจต้องนำมาตรการจัดการปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่ใช้กับไซปรัสไปปรับใช้กับประเทศอื่นๆ

สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ยังมีการขยายตัวดี แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอลงบ้างในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จากผลชั่วคราวของมาตรการป้องปรามการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ ซึ่งทำให้การใช้จ่ายจากกลุ่มดังกล่าวชะลอลง ประกอบกับผลของไข้หวัดนกที่ทำให้การผลิตในภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมของพื้นที่ประสบภัยชะลอลง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะเร่งขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากสภาพคล่องในตลาดการเงินที่อยู่ในระดับผ่อนคลาย และกำไรจากภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงจะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป ขณะที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่น การฟื้นตัวของภาคการผลิตยังเป็นไปอย่างเชื่องช้าตามการส่งออกที่ยังไมฟื้นตัวมากนัก  แต่มีสัญญาณบวกมากขึ้น หลังสัดส่วนสินค้าคงคลังต่อการส่งมอบสินค้าปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ประกาศเป้าหมายและวิธีการใหม่ (Quantitative and Qualitative Monetary Easing) ที่จะแก้ปัญหาเงินฝืด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 2% ภายใน 2 ปี

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทย ประเด็นการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ เนื่องจากค่าเงิน ที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก สร้างความกังวลต่อนักลงทุนว่า ธปท. อาจประกาศใช้มาตรการที่รุนแรงในการสกัดการแข็งค่าของเงินบาทแข่งขันมากพอ โดยทาง TISCO ESU มองว่าโอกาสที่ทาง ธปท. จะใช้มาตรการรุนแรงมาจัดการนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ยังไม่ได้จัดการกับค่าเงินบาทมากนัก ดังนั้นหากจะเข้าไปแทรกแซง น่าจะเป็นการแทรกแซงแบบปกติที่เคยทำมาตลอด อาทิ การเข้าไปแทรกแซงในตลาดการเงิน

ทั้งนี้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น ดังเห็นได้จากตัวเลขดัชนีการผลิต ยอดค้าปลีก และตัวเลขการจ้างงาน โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไปน่าจะได้รับแรงสนับสนุนจาก 2 ปัจจัย คือ 1) การเกื้อหนุนกัน (Positive Feedback Loop) ระหว่างการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน และ 2) การฟื้นตัวของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่จะช่วยสนับสนุนการบริโภคในระยะต่อไป โดย 2 ปัจจัยหลักนี้น่าจะทำให้การฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกาในปีนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ แม้ความเสี่ยงทางด้านการคลังจากปัญหา Fiscal cliff จะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น แต่ยังคงต้องติดตามการจัดการปัญหาเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งล่าสุดรัฐบาลสหรัฐได้ยกเลิกเพดานหนี้เป็นการชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 19 พ.ค. 2556 โดยทางสภา Congress จะต้องตกลงกันในการจัดการปัญหาหนี้สาธารณะก่อนที่หนี้สาธารณะจะชนเพดานอีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ 

อีกความเสี่ยงหนี่งที่อาจเกิดขึ้น ในช่วงปลายปี คือการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (The Federal Reserve:Fed) น่าจะเริ่มชะลอการทำมาตรการ Quantitative Easing (QE) ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีนี้ และอาจหยุดการเข้าซื้อในช่วงสิ้นปี หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดแรงงานปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ดังเช่นในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ผลต่อเศรษฐกิจอาจมีไม่มากนัก เนื่องจากตลาดบางส่วนได้คาดการไว้แล้ว อีกทั้งแม้ Fed จะหยุดการเข้าซื้อ แต่คาดว่าจะยังไม่ขายสินทรัพย์ที่เคยซื้อไปออกมา ประกอบกับ Fed น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ใกล้ 0% ต่อไปจนถึงปี 2015 ส่งผลให้ตลาดการเงินน่าจะยังอยู่ในภาวะผ่อนคลายต่อไป

ด้าน นางสาววรสินี  สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Wealth Strategist, TISCO Wealth)  กล่าวว่า  ภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 2  ทิสโก้ เวลธ์ ยังคงแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้น  และจากการแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันยังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เนื่องจากต้นทุนการลงทุนจะปรับตัวลดลง และยังเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้อีกด้วย  โดยเน้นลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ รวมทั้งมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เติบโตดี อีกทั้งราคาหุ้นไม่แพง  ตลาดหุ้นที่แนะนำในช่วงนี้ คือ ตลาดหุ้น เอเชีย แปซิฟิก  (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) , จีน, ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ

โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดที่แนะนำให้นักลงทุนทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพอร์ต เนื่องจาก จากแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งดัชนีชี้ต่างๆ  เช่น ตัวเลขการจ้างงาน ภาคการผลิต รวมทั้งการบริโภค  และระดับราคาหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงส่งผลให้มีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ ในกรณีที่มีข่าวบวกเข้ามาในตลาดหุ้น เช่น การปรับขึ้นอันดับเครดิตของสหรัฐฯ,ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด หรือธนาคารกลางสหรัฐฯยุติ QE  โดยการที่สหรัฐฯยุติ QE จะทำให้ปริมาณเงินที่เคยอยู่ในตลาดพันธบัตร เพื่อเก็งกำไรราคาพันธบัตรจะไหลออก เพราะการที่มี QE เป็นการกดดอกเบี้ยให้อยู่ระดับต่ำ และราคาพันธบัตรจะอยู่ระดับสูง แต่เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯยุติการทำ QE ส่งผลให้ อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรจะปรับสูงขึ้น เนื่องจากเงินที่เคยกดอัตราผลตอบแทนจะหายไป และราคาพันธบัตรก็จะปรับลดลง

ดังนั้น นักลงทุนจะต้องหาแหล่งลงทุนที่คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมทั้งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ทำ QE จะแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้มีแรงเข้ามาลงทุนจากความมั่นใจต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้ดัชนี S&P 500 มีโอกาสปรับขึ้นเกินระดับ 1,800 จุด  

ขณะที่การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งนักลงทุนมั่นใจต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ มากขึ้น ทำให้ความน่าสนใจของสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอย่างเช่นทองคำมีความน่าสนใจลดลง ส่วนการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ ยังคงแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนพันธบัตรระยะยาว และเน้นการลงทุนเงินฝากหรือตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี โดยมองว่าดอกเบี้ยนโยบายจะกลับมาเป็นขาขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด  (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า เพื่อตอบโจทย์การลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม บลจ.ทิสโก้ จึงเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 1” (TISCO US Equity Trigger 8% Fund # 1)  ซึ่งเป็นกองทาร์เก็ตฟันด์  ที่เน้นลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านกองทุนอีทีเอฟ (Exchange Traded Fund) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก  เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 โดยมีอายุโครงการประมาณ 8 เดือน หรือสามารถเลิกโครงการก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8% หรือมีมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มากกว่าหรือเท่ากับ 10.80 บาทบาท  มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท   เปิดเสนอขายครั้งเดียว 22–30 เม.ย. 55 ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา  ลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท 

 

 


LastUpdate 22/04/2556 17:06:18 โดย : Admin
26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 5:10 am