การตลาด
สกู๊ป...จับตากระแสป๊อปคอร์นคึกวัดฝีมือหน้าใหม่ใครอยู่ได้นาน


 

 

หลังจาก การ์เร็ต ป๊อปคอร์น  จากอเมริกาบินตรงเข้ามาทำตลาดในไทย  ส่งผลให้ตลาดป๊อปคอร์นในไทยคึกคักขึ้น  ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดสาหร่ายอย่างเถ้าแก่น้อย ยังให้ความสนใจเข้ามาชิงแชร์

 

 

หลังจาก "การ์เร็ต ป๊อปคอร์น" จากอเมริกาบินตรงเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ส่งผลให้ตลาดป๊อปคอร์นในประเทศไทยเริ่มมีความคึกคักมากขึ้น  เห็นได้จากผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดสาหร่ายอย่างเถ้าแก่น้อย ให้ความสนใจเข้ามาชิงแชร์ในตลาดป๊อปคอร์นครั้งนี้

จากกระแสข่าวลือที่ปล่อยออกมาไม่นาน  การ์ตเร็ต ป๊อปคอร์น  ก็ได้ถือฤกษ์งามยามดีเปิดตัว  "ร้าน การ์เร็ต ป๊อปคอร์น ช็อป" (Garrett Popcorn Shop) เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ  ด้วยการชิงพื้นที่  45 ตร.ม. ของศูนย์การค้าสยามพารากอนเปิดให้บริการสาขาแรก  เพื่อเป็นการทดลองผลการตอบรับของตลาดก่อนที่จะทำการขยายสาขาต่อไป

วันแรกของการเปิดให้บริการร้านการ์เร็ต ป๊อปคอร์น ช็อป  มีลูกค้าให้ความสนใจเข้าต่อคิวรอซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก  ส่งผลให้คิวยาวออกไปภายนอกศูนย์การค้าสยามพารากอน ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างปรากฎการณ์ต่อแถวคิวยาว  เพื่อรอซื้อสินค้า  หลังจากก่อนหน้านี้ร้านโรตีบอยและคริสปี้ครีมเคยสร้างปรากฎการณ์แบบนี้มาแล้ว

 

 

 

นายสุชาติ เจียรานุสสติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราเมล คริสป์ จำกัด  กล่าวว่า   จากช่องว่างของตลาดป๊อปคอร์นในประเทศไทยที่ยังมีให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก  จึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าว  ด้วยการลงทุนในนามส่วนตัวตั้งบริษัท คาราเมล คริสป์ จำกัด ถือหุ้น 50%  ที่เหลืออีก 50%  ถือหุ้นโดยบริษัทแม่เจ้าของลิขสิทธิ์ การ์เร็ต ป๊อปคอร์น จากอเมริกา เพื่อรับสิทธิ์ลงทุนและเปิดร้าน การ์เร็ต ป๊อปคอร์น ช็อป (Garrett Popcorn Shop) ในประเทศไทย

ก่อนที่จะเปิดตัวร้านการ์เร็ต ป๊อปคอร์น ช็อป อย่างเป็นทางการ  นายสุชาติกล่าวว่า  ได้เตรียมแผนการดำเนินงานมานานกว่า 6 เดือน เพราะป๊อปคอร์นเป็นสินค้าที่ต้องคั่วสดในร้าน  ดังนั้นวัตถุดิบต้องพร้อม การขนส่งต้องแน่นอน  เพื่อให้การดำเนินธุรกิจไม่มีปัญหา

นายสุชาติ  กล่าวต่อว่า  ตอนที่เจรจากับทางเจ้าของลิขสิทธิ์ใช้เวลาไม่นาน แต่ก่อนหน้าที่จะเจรจากับบริษัทแม่ของการ์เร็ตป๊อปคอร์น  มีนักลงทุนรายอื่นอีก 2 รายเข้าไปเจรจาขอลิขสิทธิ์ดำเนินธุรกิจเหมือนกัน แต่ทางอเมริกาเลือกตนเอง เพราะมีความเข้าใจในแบรนด์และความเป็นการ์เร็ต ป๊อปคอร์นได้เป็นอย่างดี

สำหรับแผนการทำตลาดในเบื้องต้น การ์เร็ต ป๊อปคอร์น มีรสชาติให้เลือกจำนวน 7 รสชาติ  ด้วยราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 90-2,300 บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบราคาในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง ราคาขายในประเทศไทยถือว่าถูกกว่า  โดยหลังจากทดลองทำตลาดไประยะหนึ่งจะมีการพัฒนาสูตรใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด  เพื่อให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคคนไทย

 

 

ทั้งนี้หลังจากเปิดให้บริการ  นายสุชาติ  คาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่า  6,000 คนต่อสัปดาห์  ซึ่งในส่วนของสาขาแรกคาดว่า จะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 2 ปี  เนื่องจากผู้เล่นในตลาดป๊อปคอร์นระดับพรีเมียมยังไม่มีใครเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง  จึงทำให้ยังมีช่องว่างอีกมากในการเข้ามาขยายตลาด

ด้านนายแลนซ์ โชดี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การ์เร็ต แบรนด์ แอลแอลซี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจสินค้าแบรนด์ “การ์เร็ต ป๊อปคอร์น” จากชิคาโก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศล่าสุดที่การ์เร็ต ป๊อปคอร์น ขยายธุรกิจไปในต่างประเทศ และในปีนี้มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 20 แห่ง  ซึ่งเร็วๆนี้เตรียมที่จะเปิดให้บริการที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บราซิล และเกาหลีใต้ จากปัจจุบันมีจำนวนร้านการ์เร็ต ป๊อปคอร์น เปิดให้บริการมากกว่า  40  สาขาใน 10 กว่าประเทศทั่วโลก เช่น ชิคาโก กับลาสเวกัสที่อเมริกา, ดูไบ, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, คูเวต, มาเลเซีย, อังกฤษ, สิงคโปร์  และไทย

 


       
สำหรับกลยุทธ์ที่จะเน้นสำหรับการทำตาดการ์เร็ต ป๊อปคอร์น ทั่วโลก  จะเน้นการทำตลาดผ่านโลกโซเชียลมีเดีย  เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเว็บไซต์   ส่งผลให้ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขาย 20% มาจากช่องทางออนไลน์ และอีก 80% มาจากการขายผ่านหน้าร้าน โดยสาขาที่ขายดีที่สุดคือ ชิคาโก รองลงมาคือ ชิบูยาที่ญี่ปุ่น  ในส่วนของประเทศไทยคาดว่าจะเป็นอันดับ 3 ในเร็วๆ นี้

ในส่วนของบริษัท เถ้าแก่น้อย  ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ให้ความสนใจเข้ามาทำตลาดป๊อปคอร์นในช่วงเวลานี้  ด้วยการเปิดตัวร้าน “ต๊อบคอร์น” ร้านจำหน่ายป๊อปคอร์นแนวใหม่  เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการรับประทานป๊อปคอร์น

 

 

นายอิทธิพัทธ์  พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" และข้าวโพดคั่วสด "ต๊อบคอร์น"  กล่าวว่า  บริษัทได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ในกลุ่มสินค้าขนมขบเคี้ยวหรือสแน็ก ประเภทข้าวโพดคั่วสด ภายใต้ชื่อ "ต๊อบคอร์น"  (Tob Corn)  เข้ามาทำตลาด  ด้วยการชูจุดเด่นของสินค้าที่เป็นป๊อปคอร์นแนวใหม่ คั่วสดวันต่อวันแบบพรีเมี่ยม ภายใต้แนวคิด "Popcorn Beyond Imagination by ToB"(รสชาติสร้างสรรค์ แปลกใหม่ เหนือจินตนาการ) 

ปัจจุบัน "ต๊อบคอร์น" มีรสชาติให้เลือกรับประทานทั้งหมด 6 รสชาติทั้งในรูปแบบตะวันออกและตะวันตก ประกอบด้วย  โนริ เทริยากิ ป๊อปคอร์นสูตรออริจินัล  ในแบบแจแปนนิสสไตล์  , คริสปี้ โคโคนัท ป๊อปคอร์นสูตร East meet West , ปารีส คาราเมล  , คาราเมล อัลมอนด์  , คาราเมล  แมคคาเดเมีย และสตรอว์เบอร์รี่ โดยวางจำหน่ายในขนาด เล็ก (S) , กลาง (M) , ใหญ่ (L) ราคาเริ่มต้น 59 บาท

 

 

นอกจากมีจุดเด่นในด้านของรสชาติแล้ว ยังมีความโดดเด่นในด้านของการตกแต่งครัวแบบเปิดที่เน้นความสนุกสนาน คึกคัก และมีการสาธิตให้เห็นกรรมวิธีการทำ  ด้วยการใช้เครื่องคั่วป๊อปคอร์นที่นำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา  นำมาสาธิตวิธีการทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกลิ่นหอมของป๊อปคอร์นที่คั่วสด ๆ ทุกวัน  และภายในไตรมาส 3  ก็มีแผนที่จะพัฒนารสชาติใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้น  เช่น  ข้าวเหนียวทุเรียน , ต้มยำกุ้ง   และน้ำปลาหวาน เป็นต้น

นายอิทธิพัทธ์  กล่าวต่อว่า  การหันมารุกตลาดป๊อปคอร์นครั้งนี้ เพราะเป็นตลาดที่เติบโตดีเฉลี่ย 30-40% ต่อปี  ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาท ไม่รวมป๊อปคอร์นในช่องทางโรงภาพยนตร์  ซึ่งในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจ ต๊อบคอร์น ในปีแรก บริษัทตั้งเป้าที่จะมีร้านต๊อบคอร์น รวมทั้งสิ้น  6 แห่ง จากปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการ 1 แห่ง ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล 21

ทั้งนี้หาก “ต๊อบคอร์น” ได้ผลการตอบรับที่ดี  นายอิทธิพัทธ์ มีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่งภายใน 5 ปี  พร้อมกับขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังประเทศในแถบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี   เพราะหลังจากเปิดเออีซีในปี 2558  ทั้ง 10 ประเทศจะมีประชากรรวมกันมากกว่า 300 ล้านคน

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดของร้านต๊อบคอร์น  ในช่วงแรกจะเน้นไปที่การทำกิจกรรม ณ จุดขาย , การใช้ Social Network และการแจกชิม  เพื่อให้เกิดการทดลองชิมและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่า จะมียอดขายเฉลี่ย 1-1.5 ล้านบาทต่อสาขา หรือประมาณ 50 ล้านบาทในปีแรก และมีรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทเมื่อมีสาขา 100 แห่ง

ปัจจุบันตลาดป๊อปคอร์นในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท  แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ  ตลาดป๊อปคอร์นสำเร็จรูปบรรจุซองมีมูลค่าประมาณ 300-400 ล้านบาท , ตลาดป๊อปคอร์นหน้าโรงภาพยนตร์มีมูลค่าตลาดกว่า 1,000 ล้านบาท  ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 600-700 ล้านบาทเป็นตลาดป๊อปคอร์นคั่วสดพรีเมี่ยม

และจากการที่มีผู้ประกอบการสนใจเข้ามาทำตลาดป๊อปคอร์นระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น  น่าจะช่วยให้ตลาดดังกล่าวมีส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดในอนาคตอันใกล้นี้  หากผู้ประกอบการทั้ง 2 รายใหญ่ไม่โดนฉุดกระแสความแรงลดลงเสียก่อน



LastUpdate 01/02/2557 14:15:12 โดย : Admin
26-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 26, 2024, 6:50 am