การตลาด
สกู๊ป "ลอรีอัล" แตก 3 แบรนด์ใหม่ เสริมทัพ "ผู้นำ"สกินแคร์ผิวหน้า


 

ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (สกินแคร์) ของประเทศไทย นับเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศกลุ่มอาเซียน เนื่องจากปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 35,752 ล้านบาท ในมูลค่าดังกล่าวในตลาดแมสเป็นตลาดที่ใหญ่ เช่นเดียวกับ สกินแคร์ สำหรับผิวหน้าที่มีสัดส่วนสูงถึง 68% ของตลาดรวมสกินแคร์ ซึ่งในส่วนของช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตลาดรวมสกินแคร์ มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ  4% ถือเป็นอัตราการเติบโตที่ดี แม้ว่าช่วงต้นปีจะมีปัจจัยลบด้านการเมืองมาส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคไปบ้าง

ปัจจัยดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับความสวยงาม และดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ของลอรีอัล ในช่วงครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตสวนกระแสตลาดอยู่ที่ประมาณ 12% เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (เมคอัพ) ซึ่งลอรีอัลมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 11% สูงกว่าภาพรวมตลาดเมคอัพที่มีมูลค่า 12,393 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 7% จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามในประเทศไทย กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
 

 
 
นายอูเมช ฟัดเค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง จึงทำให้ภาพรวมตลาดสินค้าความงามยังสามารถเติบโตได้ดี เช่นเดียวกับสินค้าความงามของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเช่นเดียวกับราคาขาย โดยในส่วนของกลุ่มสินค้าสกินแคร์ บริษัทมีสินค้าเข้าทำตลาดทั้งหมด 1,777  รายการ  มีราคาขายเริ่มต้น 10-19,000 บาท ขณะที่กลุ่มสินค้าเมคอัพ มีผลิตภัณฑ์เข้าทำตลาด 2,469 รายการ มีราคาขายเริ่มต้น 49 - 3,200 บาท

จากความหลากหลายของสินค้า ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัท ลอรีอัล สามารถขึ้นเป็นผู้นำในตลาดสกินแคร์สำหรับผิวหน้าได้สำเร็จ แม้ว่าตลาดดังกล่าวจะมีการแข่งขันสูง และจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ที่ดี บริษัท ลอรีอัล จึงต้องเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดสกินแคร์สำหรับผิวหน้า

แนวโน้มการเติบโตที่ดีของตลาดสินค้าความงาม ส่งผลให้ บริษัท ลอรีอัล เล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาขยายตลาดสกินแคร์ เพื่อเสริมความเป็นผู้นำตลาดสกินแคร์ และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจเมคอัพ ด้วยการออกมาเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เข้าทำตลาด ผ่านการสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้น การสร้างแคมเปญการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างความประทับใจในบริการทุกจุดขาย

 
 
 
ขณะเดียวกันยังออกมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 แบรนด์ เข้ามาช่วยเสริมทัพ คือ คัลเลอร์ โชว์ (ColorShow) คลาริโซนิค (Clarisonic) และ เออเบิน ดีเคย์ (Urban Decay)  ในส่วนของแบรนด์ “คัลเลอร์ โชว์ (ColorShow)” แบรนด์ที่แตกไลน์ออกมากจากเมย์เบลลีน นิวยอร์ก เพื่อมอบความหลากหลายและที่สุดของสีสัน ในราคาย่อมเยาว์ ให้กับผู้ที่หลงใหลในสีสันและผู้ที่เริ่มแต่งหน้า ให้ตื่นตาตื่นใจกับสีสันมากมายที่ผสมเป็นเฉดสีใหม่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในคุณภาพระดับแบรนด์เมคอัพอันดับหนึ่งของโลก
 

 
 
 
 
ส่วน แบรนด์ “คลาริโซนิค (Clarisonic)” จะเป็นแบรนด์อุปกรณ์ดูแลผิวหน้าอันดับหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา การันตีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดเครื่องสำอางได้ดีกว่ามือเปล่าถึง 6 เท่า ซึ่งได้เปิดตัวครั้งแรกในไทย ที่ เซโฟร่า สยาม เซ็นเตอร์ เมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา และ แบรนด์ “เออเบิน ดีเคย์ (Urban Decay)” จะเป็นแบรนด์เมคอัพสุดชิคจากสหรัฐอเมริกา ที่ครองอันดับหนึ่งของแบรนด์เมคอัพยอดนิยมในเซโฟร่าในทุกทวีปต่างๆ รอบโลก ซึ่งจะเปิดตัวที่ประเทศไทยในเดือนก.ย.นี้
 
นอกจากนี้ บริษัท ลอรีอัล ยังได้ปรับ ‘ลอรีอัล ปารีส เมคอัพ’ เป็น ‘ลอรีอัล เมคอัพ ดีไซเนอร์ (L’ORÉAL Make Up Designer)’  โดยวางกลยุทธ์ให้เป็นแบรนด์แห่งแรงบันดาลใจของทีมเมคอัพดีไซเนอร์ระดับสากล ทำให้ ‘ลอรีอัล เมคอัพ ดีไซเนอร์’ เป็นแบรนด์แห่งเมคอัพดีไซเนอร์ (designer make up brand) เพียงแบรนด์เดียวในตลาดพรีเมี่ยมแมส (premium mass market)

นายอูเมช กล่าวว่า คนไทยเป็นคนรักสวยรักงาม มีความงามเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเสมอ เห็นได้จากวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมและการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ความเป็นตัวตน ซึ่งพื้นฐานความต้องการนี้ ช่วยเสริมสร้างการเติบโตให้แก่ตลาด และสร้างโอกาสมากมายให้แก่ธุรกิจความงามในอนาคต
 
สำหรับลอรีอัลแล้ว การเสริมทัพด้วยแบรนด์ใหม่ๆ ด้วยนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง ด้วยการสื่อสารอันมีประสิทธิภาพ ด้วยการเติบโตของช่องทางการจัดจำหน่าย-กระจายสินค้า และด้วยคุณภาพในการบริการ เรามั่นใจว่าจะสามารถครองความเป็นผู้นำในตลาดสกินแคร์และยกระดับความสำเร็จของบริษัทในตลาดเมคอัพขึ้นไปอีกขั้น

จากแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจ ‘แบ่งปันความงามให้ทุกสรรพสิ่ง’ (Beauty for All) ที่มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการด้านความงาม ความปรารถนาที่หลากหลาย และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของผู้บริโภค  ส่งผลให้บริษัท ลอรีอัล  เดินหน้าพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภคชาวไทย 

แนวทางดังกล่าว ถือเป็นการเดินตามแนวทางความมุ่งมั่นของบริษัท ลอรีอัล สำนักงานใหญ่ ที่จะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคหน้าใหม่ 1,000  ล้านคนทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยในฐานะตลาดความงามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศกลุ่มอาเซียน จึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันองค์กรให้ถึงเป้าหมาย  บริษัท ลอรีอัล จึงต้องการเป็นบริษัทความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเข้าถึงผู้บริโภคทุกคนในอนาคต หลังจากปัจจุบันสามารถเข้าไปนั่งเป็นอันดับ 1 ในตลาดสกินแคร์สำหรับผิวหน้าได้สำเร็จ

นอกจากจะเดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มเมคอัพเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องแล้ว บริษัท ลอรีอัล ยังมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ในกลุ่มอื่นๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเปิดตัวจุดจำหน่ายแห่งใหม่  และปรับปรุงจุดจำหน่ายแห่งเก่าประมาณ 821 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้มีความทันสมัยและตรงกับความต้องการของลูกค้า

นายอูเมช กล่าวอีกว่า ในด้านของกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทจะใช้ 5 กลยุทธ์ เป็นตัวขับเคลื่อน ประกอบด้วย 1.นวัตกรรมแบรนด์ใหม่  2.นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่  3.นวัตกรรมแคมเปญสื่อสารการตลาดใหม่  4.นวัตกรรมจุดขายใหม่ และ 5.นวัตกรรมประสบการณ์ใหม่ ซึ่งหลังจากออกมาขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่าสิ้นปีจะมียอดขายเติบโตสูงกว่าภาพรวมตลาดสินค้าความงาม ที่คาดว่าจะมีอัตรากการเติบโตอยู่ที่ 4 - 5%
 
 
 
 
ปัจจุบัน บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย คือ บริษัทความงามอันดับ 2 ของประเทศไทย มีสินค้านำเข้าและจัดจำหน่ายรวมกันทั้งหมด 21 แบรนด์ แบ่งออกเป็น 4 แผนก ประกอบด้วย แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ได้แก่ ลอรีอัล ปารีส การ์นิเย่ และเมย์เบลลีน นิวยอร์ก แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง  ได้แก่ ลังโคม ไบโอเธิร์ม จิออร์จิโอ อาร์มานี่ ราล์ฟ ลอเรน คาชาเรล กี ลาโรชย์  คีลส์ ชู อูเอมูระ วิคเตอร์ แอนด์ รอล์ฟ  ดีเซล อีฟส์ แซงต์ โลร็องต์ คลาริโซนิค และ เออเบิน ดีเคย์ แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ได้แก่ ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล เคเรสตาส และ แมทริกซ์ และ แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ได้แก่ ลา โรช-โพเซย์ และ วิชี่

จากการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาก และมีการกระจายสินค้าได้ครอบคลุมทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านค้า เภสัชกรรม และร้านขายยา ซาลอน และ ร้านค้าปลีก ส่งผลให้บริษัท ลอรีอัล ทุ่มเทกับการวิจัยและการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้งบประมาณต่อปีกว่า 857 ล้านยูโร หรือราว 38,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้ได้สินค้านวัตกรรมใหม่ๆ  เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม บริษัท ลอรีอัล เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสินค้าความงามชั้นนำของโลก
 

LastUpdate 30/08/2557 12:55:35 โดย : Admin
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 1:00 am