เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
แบงก์กสิกรมอง "ประชุมกนง."29 เม.ย.นี้ คงอัตราดอกเบี้ย ที่ 1.75%


บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์"การประชุม กนง. 29 เม.ย. 58.... คงอัตราดอกเบี้ยเพื่อรอดูพัฒนาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ"

ประเด็นสำคัญ
 

-กนง.น่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75%ในการประชุมรอบที่สามของปี 2558 ในวันที่  29 เมษายน 2558 นี้ เพื่อรอดูพัฒนาการเศรษฐกิจไทย หลังจากที่ กนง. ได้มีมติในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในรอบก่อนหน้า ท่ามกลางความคาดหวังว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐจะช่วยขับเคลื่อนโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
   

-ปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และปัญหาการออมในระดับครัวเรือนที่ลดลง เป็นอีกเหตุผลสนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ย เพื่อดูแลประเด็นเชิงเสถียรภาพในช่วงระหว่างนี้

-อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปข้างหน้า ยังมีหลายปัจจัยจะทำให้ กนง.มีแรงกดดันในการตัดสินใจเชิงนโยบายมากขึ้น โดยเฉพาะหากแรงส่งจากการกระตุ้นของภาครัฐประสบข้อจำกัด ตลอดจน ประเด็นเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน   


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ต่อเนื่อง หลังจากที่ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุม กนง. ครั้งก่อนหน้า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2558  ด้วยเหตุผลสนับสนุนและข้อสังเกตดังต่อไปนี้

-กนง. คงเลือกรอประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจ หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งก่อนหน้า ท่ามกลางความหวังว่าแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวและการผลักดันการใช้จ่ายภาครัฐจะช่วยฟื้นโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ   ทั้งนี้ แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในครั้งก่อนหน้า จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินให้กู้ยืมลงตามประมาณ 0.1-0.3%  แต่กลไกการส่งผ่านผลกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว มาสู่การปล่อยสินเชื่อและการใช้จ่ายของภาคเอกชน ต้องใช้ระยะเวลา  ทำให้การพลิกฟื้นเศรษฐกิจในระหว่างที่เครื่องยนต์จากฝั่งการส่งออกยังคงอ่อนแอนี้ คงต้องพึ่งกำลังส่งจากภาคส่วนอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งในเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณบวกที่ชัดเจนขึ้น เช่นเดียวกับการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ทำได้ถึง 3.8 หมื่นล้านบาทในเดือนมีนาคม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของการเบิกจ่ายในช่วง 3 ปีงบประมาณที่ผ่านมาที่เพียง 2.3 หมื่นล้านบาท  ดังนั้น กนง.จึงน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนโยบายการคลัง รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีบทบาทถึง 10% ของจีดีพี ในการช่วยหนุนนำการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

-นอกจากนี้ สถานการณ์หนี้ภาคครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง สวนทางกับการออมในระดับครัวเรือนที่ลดลง อาจส่งผลให้ กนง. มีความระมัดระวังในการพิจารณาถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม  โดยแม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2557 จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงจากปี 2556 แต่ด้วยจีดีพีของไตรมาส 1/2558 ที่มีโอกาสไม่เติบโตจากสิ้นปีก่อน ขณะที่ สินเชื่อของระบบสถาบันการเงินประเภทต่างๆ ที่อาจจบไตรมาสด้วยการขยายตัวเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อน ก็อาจทำให้เห็นทิศทางสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2558 ที่ยังคงขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 85.9% ณ สิ้นปี 2557 ได้  ทั้งนี้ แม้ว่าระดับหนี้ภาคครัวเรือนดังกล่าวจะอยู่ในวิสัยที่ทางการไทยสามารถที่จะจัดการได้ แต่คงต้องยอมรับว่า การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพิ่มเติมอาจจะส่งผลให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนมีความเปราะบางมากขึ้น อีกทั้งลดแรงจูงใจในการออม อันตอกย้ำภาพที่การออมในระดับครัวเรือนไทยลดลงมาแล้วอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น จึงน่าจะเป็นอีกเหตุผลสนับสนุนให้ กนง.เลือกคงอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบัน เพื่อดูแลประเด็นเชิงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม มองไปในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า กนง. อาจเผชิญแรงกดดันให้ต้องทบทวนจุดยืนเชิงนโยบายมากขึ้น หากเกิด 3 สถานการณ์ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ดังนี้

•    ประสิทธิผลจากการขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐ มีข้อจำกัด โดยท่ามกลางหลากข่าวลบที่หลายด้านอยู่เหนือการควบคุมของไทย อาทิ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ตกต่ำ เศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทยที่อ่อนแอ ไปจนถึงประเด็นการตัดสินทางกฎหมายของอียูและความกังวลของสหรัฐฯ ต่อปัญหาแรงงานในอุตสาหกรรมประมงไทยที่ยังรอความชัดเจนอยู่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านั้น อาจเป็นหนึ่งในหลายตัวแปรที่บั่นทอนประสิทธิผลของภาคการคลังในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวเนื่อง จนกว่าประเด็นความกังวลดังกล่าวจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน หรือสถานการณ์คลี่คลายลง  นอกจากนี้ ภาครัฐก็มีโจทย์สำคัญด้านการปฏิรูป โดยเฉพาะการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญและการผลักดันกติกาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรออยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2558 เช่นกัน

•    ประเด็นเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน กระทบการฟื้นตัวของการส่งออก โดยนับจากปลายปี 2557 ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าจะอธิบายได้ด้วยระดับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย แต่การแข็งค่าของเงินบาทดังกล่าว ก็สวนทางกลับบางประเทศคู่แข่งทางการค้า ที่มีทั้งการดำเนินนโยบายเพื่อทำให้ค่าเงินของตนอ่อนค่าลงเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของสินค้าออก ผ่านการใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการที่ค่าเงินได้ปรับตัวอ่อนค่าลงเองตามพื้นฐานเศรษฐกิจ อาทิ กรณีมาเลเซียที่ค่าเงินริงกิตอ่อนค่า ตามราคาน้ำมันในตลาดโลก

ทั้งนี้ หากเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกไทยที่กำลังเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้าน อันจะเพิ่มแรงกดดันต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของ กนง. ตลอดจนอาจทำให้ต้องหาแนวทางอื่นๆ รับมือ แม้ว่าในทางปฏิบัติ การใช้เครื่องมืออัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงลำพัง จะมีประสิทธิผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างจำกัด ตราบใดที่เครื่องชี้ด้านต่างประเทศของไทย ยังดูดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในเชิงเปรียบเทียบ ก็ตาม

•    การเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายของเฟด เป็นไปอย่างไม่เร่งรีบ โดยท่ามกลางสภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวที่อ่อนกำลังลง ก็อาจส่งผลให้เฟดใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ หากเฟดไม่ได้มีความเร่งรีบในจังหวะของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะช้าๆ ก็ไม่น่าที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพในตลาดการเงินไทยมากนัก อันหมายความว่าทางการไทยยังคงมีช่องว่างเพียงพอในการใช้นโยบายการเงินในลักษณะผ่อนคลาย เพื่อดูแลการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากแรงส่งเศรษฐกิจไม่เป็นไปดังคาดหวังดังที่กล่าวไปแล้ว                  


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 เม.ย. 2558 เวลา : 11:43:24
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 9:13 am