การตลาด
สกู๊ป "สหพัฒน์" ปลุก 3 ธุรกิจหลัก ดันรายได้สิ้นปีโตเข้าเป้า


ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจอย่างกลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์เริ่มได้รับผลกระทบ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งแนวโน้มที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจสินค้าคอนซูเมอร์ในช่วงครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตที่ทรงตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และสิ้นปีคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ถึง 1% แม้ว่าสัญญาณเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก

จากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ธุรกิจในเครือสหพัฒน์ได้รับผลกระทบเหมือนกับหลายๆ บริษัท  แต่จากแนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้เครือสหพัฒน์เริ่มใจชื้นว่าครึ่งปีหลังที่เหลือน่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายมาชดเชยช่วงครึ่งปีแรกที่หายไปได้พอสมควร ด้วยเหตุนี้เครือสหพัฒน์จึงวางเป้าหมายรายได้สิ้นปีไว้ที่  1.5 แสนล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 3-5%

 

นายบุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ปกติภาพรวมตลาดสินค้าคอนซูเมอร์จะมีอัตราเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 5% แต่เนื่องจากช่วง 2-3  ปีที่ผ่านมา มีปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจและการเมืองเกิดขึ้น ขณะที่ปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว จึงทำให้ภาพรวมตลาดสินค้าคอนซูเมอร์ทรงตัวตามไปด้วย โดยสิ้นปีคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ถึง 1% แต่จากแนวโน้มกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เห็นได้จากการจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 19 ซึ่งได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 มิ.ย.ที่ผ่านมา และจากการเปิดให้สมาชิกบัตรฮิต แอนด์ เฮอร์ ได้เข้าซื้อสินค้าภายในงานเป็นกลุ่มแรกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ลูกค้าให้ผลการตอบรับอย่างดี เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับการจัดงานวันแรกของปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาคธุรกิจไทย

นอกจากนี้ การที่นโยบายต่างๆ ของภาครัฐพยายามที่เริ่มส่งผลดีด้านกำลังซื้อ เชื่อว่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังปรับตัวดีขึ้น คาดว่าภายในปี 2559 ภาพรวมกำลังซื้อของผู้บริโภคน่าจะกลับมาฟื้นตัวให้เห้นภาพที่อย่างชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากปีหน้าจะเป็นปีที่ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายและกลับเข้าสู่ระบบ

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3% ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะโตอยู่ที่ประมาณ 5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัว แต่หลังจากกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าสิ้นปีจะมียอดขายใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้

อีกหนึ่งบริษัทในเครือสหพัฒน์ที่ออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งขันเพื่อผลักดันให้สิ้นปีมีรายได้เติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด  ซึ่งนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปต่อเนื่องอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะหันมารุกทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ในประเทศที่มีอัตราการเติบโตลดลงในปีนี้

 

นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี ประธานกรรมการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5% แม้ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโตได้ที่ 6% แต่ก็ถือเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้ไม่ดี แต่เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจในกลุ่มสินค้าที่มีความจำเป็นในการชีวิตประจำวัน จึงยังทำให้มียอดขายในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดสินค้าคอนซูเมอร์ที่ชะลอตัว

ในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะหันมารุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ด้วยการเน้นทำตลาดในกลุ่มประเทศอินโดจีนอย่างกัมพูชา เวียดนาม และลาว เป็นหลัก ขณะเดียวกันจะขยายตลาดญี่ปุ่นและตะวันออกกลางควบคู่กันไป รวมไปถึงการขยายตลาดไปสู่กลุ่มประเทศใหม่ๆ ซึ่งหลังจากหันมารุกขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น คาดว่าในอีก 4-5  ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 10%

ส่วนตลาดในประเทศก็จะหันมาเปิดตัวสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งจากแนวทางดังกล่าวทำให้ บริษัท ไลอ้อนฯ ต้องเตรียมความพร้อม ด้วยการใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท ขยายโรงงานผลิตสินค้าในกลุ่มผงซักฟอก กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้าน และกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล ซึ่งหลังจากดำเนินการขยายโรงงานใหม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังผลิตกลุ่มสินค้าดังกล่าวได้ไม่ต่ำกว่า 30%

ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการลงทุนที่ต่อเนื่องจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัท ไลอ้อนฯได้มีการใช้งบลงทุนขยายกำลังการผลิตสินค้าคอนซูเมอร์อย่างต่อเนื่องภายใต้งบลงทุนรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยในส่วนของปีหน้าและปีต่อๆ ไปก็มีแผนที่จะใช้งบลงทุนขยายกำลังการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เนื่องจากโรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ส่วนจะใช้งบลงทุนเท่าไหร่และขยายกำลังการผลิตสินค้าในกลุ่มไหนนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ  คาดว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะมีรายได้อยู่ที่ ่2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีนี้ที่บริษัท ไลอ้อนฯคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 5-6% ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่น่าพอใจ

ด้าน บริษัท สหพัฒน์พิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ก็ออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจเช่นกัน  ด้วยการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย และเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่เข้ามาช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคให้มาซื้อมาม่า ซึ่งหลังจากได้ “อั้ม พัชราภา” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ยอดขายมาม่าก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



 

นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการรองผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่ใช้ อั้ม-พัชราภา เป็นพรีเซ็นเตอร์ สามารถสร้างกระแสในสื่อโซเชียลได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังสามารถกระตุ้นตลาดให้มีความคึกคัก เห็นได้จากยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 40% ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะทำให้มาม่าสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นได้อีก 1% เป็น 54% ภายในสิ้นปีนี้ได้อย่างแน่นอน

สำหรับแผนการทำตลาดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่านับจากนี้ บริษัท สหพัฒนพิบูล ยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้า 3 รสชาติ ที่ได้ดึง อั้ม–พัชราภา เป็นพรีเซ็นเตอร์  ประกอบด้วย มาม่าต้มยำกุ้ง, มาม่าต้มยำกุ้งน้ำข้น และ มาม่าเย็นตาโฟต้มยำหม้อไฟ

 

ส่วนภาพรวมของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตติดลบ 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 เนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อรากหญ้า ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก อย่างไรก็ตาม หลังจากผู้ประกอบการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันมากขึ้น คาดว่าภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งปีน่าจะกลับมามีอัตราการเติบโตได้ที่ประมาณ 3% ซึ่งสูงกว่าปี 2557 ที่ภาพรวมตลาดมีอัตราการเติบโตเพียง 1.2-1.3% เท่านั้น

ทั้งนี้ อัตราการเติบโตดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 42 ปี เนื่องจากปกติตลาดจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ประมาณ 5-6%  โดยปัจจุบันมาม่ายังครองความเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 53% ตามด้วยไวไว และยำยำ มีส่วนแบ่งใกล้เคียงกันที่ประมาณ 20% ซึ่งในส่วนของภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 15,800 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ 2557 ที่มีมูลค่า 15,400 ล้านบาท


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 29 มิ.ย. 2558 เวลา : 14:10:37
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 1:33 pm