การตลาด
สกู๊ป "เคเอฟซี" เมินปัจจัยลบ ย้ำเดินหน้าลุยธุรกิจในไทย


แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะนอกจากจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรือน้ำท่วมแล้ว ยังเจอปัจจัยลบภายนอกที่หลายประเทศกำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว  ส่งผลให้ภาครัฐต้องออกมาประกาศภาพรวมส่งออกของไทยในปีนี้น่าจะติดลบอยู่ที่ประมาณ 3% ยิ่งล่าสุดประเทศจีนยังคงปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายคนเริ่มหวั่นวิตกว่าภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีนี้จะไปต่ออย่างไร เนื่องจากอัตราส่วนการส่งออกส่วนหนึ่งได้ส่งเข้าไปทำตลาดในประเทศจีน  

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีปัจจัยลบรอบด้านเกิดขึ้น แต่บริษัท ยัมเรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะร้านเคเอฟซี พร้อมปักธงวางเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2020 หรือปี 2563 จะต้องมีร้านเคเอฟซีเปิดให้บริการครบ 800 สาขาให้ได้

 

 


นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไปเคเอฟซี ประจำประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทยังมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย และยังเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของแบรนด์เคเอฟซี ยังคงมียอดขายเติบโตต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมามียอดขายเพิ่มขึ้น 7% เนื่องจากมีการการนำเสนอสินค้าและบริการที่คุ้มค่า

นอกจากนี้ เคเอฟซี ยังมีการพัฒนาการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม   โดยปัจจุบัน เคเอฟซี กำลังดำเนินกลยุทธ์ในด้านการพัฒนานวัตกรรมและการดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

พร้อมกันนี้ เคเอฟซี ยังมีการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้ เคเอฟซี ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ และเพื่อตอบสนองต่อภาวะค่าครองชีพของผู้บริโภคที่สูงขึ้น เคเอฟซี ได้มีการลงทุนด้านการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า โดยที่ลูกค้าทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในราคาคุ้มค่าื ภายใต้งบลงทุนกว่า 1,8000 ล้านบาท ในปีนี้

นางแววคนีย์ กล่าวว่า สำหรับลูกค้าที่มารับประทานภายในร้านและสั่งกลับบ้าน เคเอฟซีได้พัฒนากระบวนการเพิ่มความเร็วในการสั่งซื้อและรับอาหาร หรือ SOP (Speed Up Ordering Process) เป็นการนำเทคโนโลยีการรับออร์เดอร์มาตรฐานระดับโลกมาใช้ พร้อมปรับปรุงขั้นตอนและรูปแบบในครัวใหม่ ทำให้การทำและนำส่งอาหารให้ลูกค้าเร็วยิ่งขึ้น โดยระบบ SOP ใหม่นี้ จะทำให้ภายใน 1 ชั่วโมง เคเอฟซีสามารถให้บริการลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เคเอฟซีตั้งเป้าติดตั้งระบบ SOP ในร้านให้แล้วเสร็จและวางแผนที่จะขยายไปยังร้านเคเอฟซีทั้งหมดทั่วประเทศในอนาคต เพื่อทำให้สามารถให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วและมีคุณภาพ ส่งผลให้ลูกค้าพึงพอใจสูงสุดและคาดยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย

จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว  ส่งผลให้ เคเอฟซี ประสบความสำเร็จในด้านของยอดขายเป็นอย่างดี  พร้อมมองว่าปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือ ความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ  และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดต่าง   ทำให้บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มีแผนที่จะเกิดร้านเคเอฟซี ในปีนี้จำนวน 45 สาขา

จำนวนสาขาที่จะเปิดให้บริการดังกล่าว แบ่งเป็นบริษัทเปิดเอง 65%   และซีอาร์จี ขยาย 35%  โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ขยายสาขาใหม่ไปแล้ว 10 สาขา  ขณะเดียวกันยังจะทำการปรับปรุงร้านเก่าอีกประมาณ 10 สาขา  เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของสาขาใหม่ที่จะเปิดให้บริการจะมีทั้งในรูปแบบไดร์ฟทรู และร้านที่กระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต เพื่อสนองความต้องการของลูกค้าให้ทั่วถึงมากขึ้น   จากปัจจุบัน ร้านเคเอฟซี มีสาขาบริการครอบคลุมทั่วประเทศจำนวน 535 สาขา

ส่วนแผนการทำตลาดในปีนี้  เคเอฟซี จะหันมาให้ความสำคัญกับการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น  ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ และพัฒนาการบริการในส่วนของเดลิเวอรี่  เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีการใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น  เคเอฟซีจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจดังกล่าว

 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จะทำมาใช้ในการขยายธุรกิจของร้านเคเอฟซี  คือ การเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรทางธุรกิจของแบรนด์เคเอฟซี  ซึ่งตลอดเวลา 31 ปีในการดำเนินธุรกิจ เคเอฟซีภาคภูมิใจที่ได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งมาพร้อมกับบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจกับเคเอฟซี ประเทศไทยมายาวนาน

นางแววคีนย์  กล่าวว่า  ตามที่บริษัทได้ประกาศในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาว่า กำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่ม  เพื่อเสริมทัพร่วมขับเคลื่อนแผนพัฒนาธุรกิจของร้านเคเอฟซีให้เติบโตอย่างมั่นคง ในขณะนี้กระบวนการสรรหาพันธมิตรทางธุรกิจกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ซึ่งเป็นความลับทางธุรกิจ โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ  และสามารถประกาศแจ้งผู้ที่จะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ได้ในช่วงต้นปี 2559

สำหรับหน้าที่ของพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ที่จะเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจกับบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)  จำกัด ในครั้งนี้จะเป็นผู้ดำเนินงานร้านเคเอฟซีกว่า 130 สาขา แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ 75 สาขาและในจังหวัดที่มีศักยภาพของการดำเนินธุรกิจอีก 53 สาขา หลักเกณฑ์ข้างต้นในการคัดเลือกพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ของเคเอฟซีนั้น จะต้องเป็นกลุ่มทุนที่มีศักยภาพในการบริหารและดำเนินกิจการร้านเคเอฟซีกว่า 130 สาขา

ในส่วนของผลประโยชน์ที่พันธมิตรของ เคเอฟซี ที่จะได้รับจากการเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจ  ประกอบด้วย  3 ข้อ หลัก  คือ  1. สเกลธุรกิจขนาดใหญ่  เมื่อได้รับสิทธิ์จากแบรนด์เคเอฟซีอย่างทางการ พันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ของเคเอฟซี จะเป็นผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทย  2. พื้นที่ตั้งของร้านเคเอฟซีจะสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งรวมถึงยอดขายที่มีมูลค่าสูง ผลกำไร รวมถึงโอกาสในการลงทุนและผลกำไรตอบแทนจากการเปิดร้านใหม่ในอนาคต  และ 3.พันธมิตรทางธุรกิจใหม่ จะได้รับสิทธิ์เข้ามาดำเนินกิจการและดูแลธุกิจในพื้นที่ที่มีระบบการดำเนินงานที่เข้มแข็ง โดยมีระบบการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

นางแววคนีย์ กล่าวปิดท้ายว่า บริษัทเล็งเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของร้านเคเอฟซี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ซึ่งจะผลักดันให้แบรนด์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากขณะนี้เริ่มมีการขยายตัวของเมืองมากขึ้น  จึงทำให้ธุรกิจของเคเอฟซี มีโอกาสในการเติบโตสูงตามไปด้วย ขณะเดียวกัน ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ธุรกิจค้าปลีกก็ยังมีแนวโน้มการเติบโต  จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของร้านเคเอฟซี  ให้มีอัตราการเติบโตที่เร็วขึ้น

จากแนวทางดังกล่าวจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมร้าน เคเอฟซี จึงเป็นธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีอัตราการเติบโตที่ดีสวนกระแสภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัวอยู่ในขณะนี้


LastUpdate 14/08/2558 02:14:40 โดย : Admin
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 4:22 am