กองทุนรวม
บลจ.กรุงศรี. ตั้งเป้าปี 59 มี AUM แตะ 3.73 แสนล้าน จากปี 58 มี AUM ที่ 3.2 แสนลบ. โต15%


KSAM ชี้ปี 2558 AUM โต15% เกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม  โดดเด่นด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมแนะนำการจัดพอร์ตกระจายสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อผลตอบแทนที่ดีระยะยาว

 

น.ส.ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2559 ว่าบริษัทตั้งเป้าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 373,000 ล้านบาท และขยายฐานลูกค้าเพิ่ม 14% โดยใช้กลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าผ่านเครือข่าย ธ.กรุงศรี มากกว่า 630 สาขาและBTMU ที่มีความแข็งแกร่งในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น ส่วนของการบริหารกองทุนยังคงรักษามาตรฐานของกระบวนการลงทุน ตลอดจนการสร้างความเข้าใจกับผู้ลงทุนเรื่องการวางแผนการลงทุนระยะยาวให้เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ไม่มุ่งหวังการเก็งกำไรให้ได้ผลตอบแทนสูงแค่ระยะสั้น ๆ

สำหรับ ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2558 ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จและมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยบริษัทมีทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) มูลค่า 3.2 แสนล้านบาท หรือเติบโต 15% จากสิ้นปี 2557 ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต 8% โดยในส่วนของกองทุนรวมภายใต้การบริหารมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.6 แสนล้านบาทหรือเติบโต 20% ในขณะที่อุตสาหกรรมโต 6.7% และมีส่วนแบ่งการตลาดของกองทุนรวมเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่อันดับที่ 5 จากอันดับ 6 ในปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งมีจำนวนลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น 20% ด้วยเช่นกัน” (ข้อมูล: AIMC ณ 30 ธ.ค. 58)
ส่วน ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของ บลจ.กรุงศรี ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ กองทุนรวมหุ้นและกองทุนรวมต่างประเทศ(FIF) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีเงินลงทุนสุทธิไหลเข้าสูงสุดในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นมียอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิสูงที่สุดในอุตสาหกรรมเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ส่งผลให้กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) ครองตำแหน่งกองทุนรวมหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา (ข้อมูล: Morningstar ณ 30 ธ.ค. 58)

ในส่วนของกองทุนรวมต่างประเทศก็มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) มีการเติบโตกว่า 220% จากสิ้นปี 2557 และมียอดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิสูงที่สุดในอุตสาหกรรม ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของกองทุนรวมต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุน Term Fund) ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมจากอันดับ 4 ในปีก่อนหน้านี้ (ข้อมูล: Morningstar ณ 30 ธ.ค. 58)

 

นางสุภาพร  ลีนะบรรจง   รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ข้อมูลจาก ธนาคารกรุงศรีคาดการณ์ว่าจีดีพีไทย (GDP) เติบโต 3.2% ในปี 2559  เนื่องจากมีปัจจัยที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่หลายประการทั้งในส่วนพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่มีความแข็งแกร่ง  มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการลงทุนในโครงการลงทุนของภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้น  การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและการเร่งลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาฟื้นตัว  ทั้งนี้การบริโภคของภาคเอกชนจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ภาคการท่องเที่ยวยังคงสดใสโดยปัจจัยหนุนหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่ยังคงเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้คาดว่าปริมาณการส่งออกจะปรับตัวสูงขึ้นจากแรงหนุนของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว  และได้รับประโยชน์จากการเปิดเขตเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน (AEC) ที่มีการปรับลดอากรระหว่างประเทศ  ปัจจัยต่างๆดังกล่าวจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดีขึ้น”

บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะยาวถึงแม้ว่าในระยะสั้นตลาดจะยังคงมีความผันผวนอยู่บ้าง  แต่เชื่อมั่นว่าในระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพและมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดีได้  เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งและกำลังปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัว  โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ ปี 2559 จะเติบโต 10%  และตลาดหลักทรัพย์ไทยยังเป็นที่น่าสนใจต่อนักลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค นอกจากนี้ การฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลักจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

ด้านภาพรวมของตลาดตราสารหนี้นั้น บริษัทมีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงไว้ที่ระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ 1.50% ต่อไป เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง   ในส่วนของตราสารหนี้ระยะกลางถึงระยะยาวยังคงมีความผันผวนสูง ตามการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั่วโลก เนื่องจากความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท และกระแสเงินทุนไหลเข้า-ออกของนักลงทุนต่างชาติ

 

สำหรับสัดส่วนการลงทุนในปี 2559 ที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะฟื้นตัว  แนะนำให้ผู้ลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากขึ้น  โดยการลงทุนในหุ้นเติบโตและหุ้นของตลาดที่พัฒนาแล้วโดยเน้นที่ยุโรปและญี่ปุ่น  ด้านการลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ยังคงมีแนวโน้มที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะยาว  แม้ว่าในระยะสั้นจะมีความผันผวนอยู่บ้าง โดยตัวเลขการจ้างงานในภาคเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในตราสารหนี้ไทยที่มีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ต่างประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (FED)
    

“กองทุนแนะนำภายใต้การบริหารของ บลจ.กรุงศรี  ได้แก่ KFSPLUS, KFMTFI, KFSEQ, KFTHAISM      KF-HJAPAND,  KF-EUROPE, KF-HEALTHD, KF-EM  และ KF-CHINA” นางสุภาพร กล่าว


 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 24 ก.พ. 2559 เวลา : 12:10:05
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 2:26 pm