กองทุนรวม
กองทุน ABFTH จ่ายปันผลรวมกว่า 86 ล้านบาท


 


บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) ในอัตรา 15 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่ากว่า 86 ล้านบาท ผู้ลงทุนเตรียมรับเงิน 14 มิ.ย นี้ พร้อมเตรียมย้ายกองทุนจากตลาดตราสารหนี้ (BEX) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องและให้เข้าลงทุนได้ง่ายขึ้น
          
 
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2558 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 15.00 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 86.33 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 มิถุนายน 2559
         
 
กองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) เป็นกองทุนรวม ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ (iBoxx ABF Thailand Index) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ปัจจุบันกองทุนมีขนาดประมาณ 7,000 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดตราสารหนี้ (BEX) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องในตลาดรอง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คณะกรรมการที่ปรึกษากองทุนกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้ย้ายการซื้อขายกองทุน ABFTH จากตลาดตราสารหนี้ (BEX) เข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กองทุนเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการช่วยเพิ่มขนาดกองทุนและสภาพคล่องให้มีมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปรวมถึงนักลงทุนสถาบันสามารถเข้าลงทุนได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่ากองทุนจะเริ่มจดทะเบียนใน SET ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ 
 
          
จุดเด่นของกองทุน ABFTH คือ เป็นกองทุนรวม ETF ดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐที่มีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากกองทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนสถาบันที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว และต้องการบริหาร Portfolio Duration ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 6 ปี รวมถึงผู้ลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น พร้อมทั้งยังมีสภาพคล่องเนื่องจากสามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 
         
 "สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา ด้วยจุดเด่นของกองทุน ABFTH ที่มุ่งเน้นลงทุนในพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูง และมุ่งสร้างผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่ดีใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง ทำให้กองทุนยังรักษาผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 โดยกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 21 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 388.36 บาทต่อหน่วย ส่วนในรอบผลการดำเนินงานที่ผ่านมา (1 ธ.ค. 58 – 31 พ.ค. 59) กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.83%" นายชัชชัยกล่าว 
         
 ด้านสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่ผ่านมา นายชัชชัยกล่าวว่า "ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้ไทยมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยปัจจัยหลักมาจากการคาดการณ์ของตลาดต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ทั้งนี้ราคาตราสารหนี้ไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ต้นปี 59 เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า FED จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง
 
แต่ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาแข็งแกร่งส่งผลให้ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเทขายพันธบัตรและกดดันราคาให้ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ล่าสุด ราคาพันธบัตรปรับตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง หลังสหรัฐฯประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในเดือนพ.ค. ซึ่งออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด ทำให้โอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของ FED มีน้อยลงไปอีก"
         
 
นายชัชชัยกล่าวต่อไปว่า สำหรับมุมมองตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ.กสิกรไทย มองว่าแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันตลาดตราสารหนี้ให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แต่ทั้งนี้คาดว่าจะมีความผันผวนไม่มากเหมือนครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดมีการรับรู้ไปมากแล้วถึงจังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ว่ามีโอกาสปรับขึ้นได้ 2 ครั้งภายในปีนี้ ประกอบกับปริมาณสภาพคล่องในระบบที่ยังมีอยู่สูงจากมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้
 
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐและภาคการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ดี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น
    

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 10 มิ.ย. 2559 เวลา : 12:18:07
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 11:31 pm