กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ พัฒนางานดูแลประชาชน 5 กลุ่มวัย ในตำบลจัดการสุขภาพ 5,000 แห่งในปี 2559 มีอสม.เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดการประสานความร่วมมือทุกฝ่าย โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพเด็กไทย กระตุ้นให้หญิงฝากท้องก่อนอายุครรภ์ 3 เดือน สร้างคุณภาพเด็กไทยครบถ้วน ทั้งสุขภาพ อีคิว ไอคิวเกิน 100 อารมณ์ของแม่มีผลต่อลูก
นายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในปี 2559 นี้ กรมสบส.ได้ดำเนินโครงการพัฒนาตำบลจัดการสุขภาพ 5,000 แห่ง เสริมสร้างให้ระบบสุขภาพภาคประชาชน มีความเข้มแข็ง ประชาชนมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพของตนเอง โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรืออสม.เป็นแกนหลักจัดการในพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เน้นหนักที่การบูรณาการวิชาการจากกรมและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการปรับแก้พฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพดีรายกลุ่มวัย ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี กลุ่มเด็กวัยเรียนอายุ 5-14 ปี กลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-21 ปี กลุ่มวัยทำงานอายุ 15-59 ปี กลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป แต่ละกลุ่มมีเป้าหมายและปัญหาสุขภาพแตกต่างกัน
นายแพทย์ประภาสกล่าวว่า ในกลุ่มของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งจัดว่าเป็นกลุ่มประชากรต้นทุนของประเทศ ขณะนี้ไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงจากปีละประมาณ 8 แสนกว่าคน ในปี 2548 ลดลงเหลือ 7 แสนกว่าคนในปี 2557 โดยกระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าลดอัตราตายของแม่ไม่เกิน 15 ต่อการเกิดมีชีพ 100,000 คน และให้เด็กอายุ 0-5 ปี มีพัฒนาการสมวัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ซึ่งกรมสบส.ได้พัฒนาหลักสูตรอบรมอสม.ให้เป็นอสม.เชี่ยวชาญ เป็นผู้จัดการดูแลสุขภาพกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้เด็กไทยมีคุณภาพ มีพัฒนาการ 5 ด้านสมบูรณ์แบบ มีอีคิวหรืออารมณ์ดี และมีความฉลาดหรือ ไอคิวเกิน 100 มีศักยภาพเท่ากับหรือเหนือกว่าเด็กต่างประเทศ โดยอาศัยข้อมูลทางวิชาการซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความเฉลียวฉลาดของเด็กมาจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการคือ กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กทั้งขณะอยู่ในครรภ์และภายหลังคลอด และจากอาหารการกินของแม่ขณะตั้งครรภ์ และของลูกหลังคลอด
“จึงมุ่งเน้นให้อสม.รณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์ฝากครรภ์ให้เร็วขึ้นก่อน 12 สัปดาห์ เพื่อให้เด็กได้รับการดูแล ตรวจคัดกรองโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย ได้รับยาบำรุงครรภ์ครบถ้วน โดยเซลล์สมองของเด็กจะเริ่มสร้างตั้งแต่ตั้งครรภ์ เพิ่มขนาด และจำนวนเชื่อมโยงกันเป็นข่ายใยเส้นประสาท ทำหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่อายุประมาณ 8 สัปดาห์ เรื่อยไปจนถึงอายุ 2 ขวบ” นายแพทย์ประภาสกล่าว
นายแพทย์ประภาสกล่าวต่อไปว่า วิธีการกระตุ้นพัฒนาการสมองของเด็ก ที่หญิงตั้งครรภ์ทุกคนทำได้ง่ายๆ ไม่สิ้นเปลือง ได้แก่ 1.ปรับอารมณ์ตนเองให้ดีอยู่เสมอ มีผลการศึกษาทางการแพทย์พบว่า แม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ จะส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่าเอ็นดอร์ฟิน(Endorphin) ออกมา ซึ่งมีผลไปยังลูก ทำให้มีพัฒนาการดีทั้งสมองและอารมณ์ หากแม่อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลิน (adrenalin) ผ่านไปยังลูก ลูกออกมาจะงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า 2.ให้พูดคุยกับลูกบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย 3.ส่องไฟที่หน้าท้อง เพื่อเสริมการมองเห็น สร้างความสนใจให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น เด็กในครรภ์จะสามารถกระพริบตา ตอบสนองต่อแสงไฟตั้งแต่อายุประมาณ 7 เดือน 4.การรับประทานอาหารที่เหมาะสมโดยเฉพาะปลาทะเล และสาหร่ายทะเลซึ่งมีสารดีเอชเอ และสารเออาร์เอ ซึ่งมีมากในน้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด 5.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากนมแม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็ก มีสารต่อสู้กับเชื้อโรค ทำให้เด็กไม่ป่วย การป่วยของเด็ก หากเกิดบ่อยครั้ง จะส่งผลให้การเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง หยุดชะงักได้ นอกจากนี้เด็กที่กินนมแม่ และได้รับการดูแลจากแม่อย่างเต็มเปี่ยม จะมีผลให้ลูกไม่มีความเครียด ไม่เห็นแก่ตัว
ทั้งนี้ข้อมูลทางวิชาการ ระบุว่า ความเฉลียวฉลาด สติปัญญาของเด็ก มาจาก 3 ปัจจัยได้แก่ กรรมพันธุ์มีผลร้อยละ 30 - 60 มาจากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กทั้งขณะอยู่ในครรภ์และหลังคลอด มีผลร้อยละ 40 - 70 และจากอาหารการกินที่แม่กินขณะตั้งครรภ์และอาหารที่ลูกกินหลังคลอด โดยในช่วง 1 ปีแรกของชีวิต อาหารร้อยละ 60 จะถูกนำไปใช้เพื่อการเจริญของสมองและเมื่อเด็กอายุ 3 ปีอาหารถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาสมองร้อยละ 30
.jpg)
ข่าวเด่น