การตลาด
สกู๊ป "ดาวคอฟฟี่" ลุยสร้างแบรนด์ติดตลาด ส่ง "กาแฟคุมน้ำหนัก" เสริมทัพ


หลังจากปูฐานธุรกิจด้วยการนำกาแฟดาวคอฟฟี่เข้ามาทำตลาดตามชายแดนติดต่อกับประเทศไทยผ่านดิวตี้ฟรี  มาเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาจนได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยที่ข้ามไปท่องเที่ยวในประเทศลาว  ส่งผลให้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป จึงตัดสินใจที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยอย่างจริงจัง  

 

 

 

เริ่มด้วยการแต่งตั้ง นางยุวดี วรวัฒน์ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศไทย  ด้วยการก่อตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ซำ บาย ดี จำกัด  เพื่อนำเข้าสินค้าระดับพรีเมียม ในกลุ่มชา กาแฟ และ ผลไม้อบแห้ง  เข้ามาทำตลาดในไทย ผ่านช่องทางการขายต่างๆ  เช่น  ห้างค้าปลีก ศูนย์การค้าชุมชน (คอมมูนิตี้มอลล์) และร้านค้าปลีกทั่วไป  ซึ่งหลังจากนำสินค้าเข้ามาทดลองทำตลาดในประเทศไทยก็ได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ากาแฟภายใต้แบรนด์ดาวคอฟฟี่  เนื่องจากเป็นกาแฟที่มีความโดดเด่นในด้านของปลูกบนที่ราบสูง  และไม่ใช้สารเคมี จึงทำให้กาแฟดาวคอฟฟี่  ซึ่งเป็นกาแฟพันธ์อาราบิกามีรสชาติถูกปากคนไทย

แม้ว่าจะทำตลาดในประเทศไทยแค่เพียง 2 ปี แต่ผลประกอบการของดาวคอฟฟี่ถือว่ามีอัตราการเติบโตค่อนข้างเร็ว เห็นได้จากรายได้ในปี 2559 ที่ผ่านมา ดาวคอฟฟฟี่สามารถทำรายได้สูงถึงกว่า 1,000 ล้านบาท จากการทำตลาดกาแฟใน  3  รูปแบบ ได้แก่ กาแฟสำเร็จรูป 3 in 1, กาแฟผงสำเร็จรูป  และกาแฟเมล็ดคั่ว

 

 

จากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าว ทำให้ล่าสุดกลุ่มบริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป ต้องขยายไลน์สินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม  และสินค้าที่น่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดีในช่วงนี้  ซึ่งเป็นช่วงที่คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ก็น่าจะเป็นในส่วนของกาแฟเพื่อสุขภาพ  ดังนั้นกลุ่มบริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป  จึงได้มีการพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ในรูปแบบของกาแฟควบคุมน้ำหนัก  เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการดูแลสุขภาพ

นางบุญเฮือง แครอล ลิดดัง รองประธานกลุ่มบริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟดาวคอฟฟี่  ผู้ดำเนินธุรกิจกาแฟรายใหญ่จากประเทศลาว กล่าวว่า  หลังจากบริษัทได้นำผลิตภัณฑ์กาแฟภายใต้แบรนด์ ดาวคอฟฟี่  เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาพบว่า  ลูกค้าคนไทยให้ผลการตอบรับที่ดี  และเริ่มรู้จักแบรนด์ดาวคอฟฟี่มากขึ้น  เนื่องจากบริษัทมีการนำผลิตภัณฑ์กาแฟเข้ามาทำตลาดครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย  และมีการใช้สื่อโฆษณา  เพื่อบอกเล่าที่มาของแบรนด์ดาวคอฟฟี่  จึงทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์สินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์และสร้างแบรนด์ดาวคอฟฟี่ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ล่าสุดกลุ่ม บริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป  จึงได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ  ดาว คอฟฟี่ เพอร์เฟ็คท์ เชฟเพื่อผลักดันให้แบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น  ซึ่งในส่วนของสินค้ากลุ่มนี้กลุ่มบริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป  จะทำการตลาดไปในส่วนของช่องทางออนไลน์  ด้วยการแต่งตั้ง บริษัท สยามกุลรัตน์ จำกัด เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายในช่องทางออนไลน์แต่เพียงผู้เดียวในไทย  

 

นางบุญเฮือง กล่าวต่อว่า ปัจจัยที่ทำให้เลือกบริษัท  สยามกุลรัตน์  เป็นผู้นำเข้าสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดาว คอฟฟี่ เพอร์เฟ็คท์ เชฟ  เพราะเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านของตลาดออนไลน์  มีทั้งตัวแทนและทีมบริหารระดับมืออาชีพ  มีฐานลูกค้าเดิม  จึงทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นว่า ดาว คอฟฟี่ เพอร์เฟ็คท์ เชฟ จะสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ 5-10% ในปีนี้ และมียอดขายเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 20%

ปัจจุบันตลาดกาแฟสำเร็จรูปและกาแฟเพื่อสุขภาพที่มีจำหน่ายอยู่ช่องทางออนไลน์มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปี  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลุ่มบริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป สนใจนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในช่องทางดังกล่าว  และเพื่อให้สินค้าดาว คอฟฟี่ เพอร์เฟ็คท์ เชฟเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมมากขึ้น  จึงได้มีการเปิดรับตัวแทนจำหน่าสินค้าดังกล่าว  เพื่อให้ดาว คอฟฟี่ เพอร์เฟ็คท์ เชฟสามารถเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัยอย่างแท้จริง และยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงสินค้าอื่นๆ ของดาว คอฟฟี่ ได้อีกด้วย เป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้คนไทยรู้จักและทดลองสินค้าดาว คอฟฟี่มากขึ้น 

 

  

นางบุญเฮือง กล่าวอีกว่า   บริษัทวางเป้าหมายว่าการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์จะกระตุ้นยอดขายดาว คอฟฟี่ ให้เติบโตเท่าตัวในปี 2561  นอกจากนี้ยังมีแผนเพิ่มไลน์สินค้าที่อยู่ในเครือจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์  เช่น กลุ่มสินค้าผลไม้อบแห้ง  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มนำสินค้าในเครืออื่นๆ เข้าไปจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ได้ประมาณปีหน้า  

 

        อย่างไรก็ดี  หลังจากนำสินค้าใหม่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ กลุ่มบริษัท ดาวเฮืองกรุ๊ป คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2560 นี้น่าจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20%  จากปี 2559  ทีมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,000  ล้านบาท  แบ่งเป็นรายได้ที่มาจากการขายเมล็ดกาแฟดิบ 60%  และรายได้จากการขายกาแฟสำเร็จรูปประมาณ 40%  ซึ่งในส่วนของปี 2561  คาดว่าจะมีรายได้เติบโตมากกว่านี้   เพราะนอกจากจะมีสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดแล้ว  อัตราส่วนการบริโภคกาแฟของคนไทยยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ  เห็นได้จากอัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยซึ่งอยู่ที่  1.07 กก.ต่อคนต่อปี ขณะที่ลาว 1.5 กก.  ขณะที่การบริโภคกาแฟเฉลี่ยสำเร็จรูปของคนไทยอยู่ที่ 200 แก้วต่อคนต่อปี   นอร์เวย์มีอัตราการบริโภคอยู่ที่ 1 ,000 แก้วต่อคนต่อปี  และ ญี่ปุ่นมีอัตาการบริโภค  400 แก้วต่อคนต่อปี  จึงมองว่าตลาดมีโอกาสการขยายตัวได้อีกมาก

สำหรับภาพรวมของตลาดกาแฟในประเทศไทยปีนี้ยังแข่งขันกันรุนแรง  เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้น  ส่งผลให้มีการแข่งขันในด้านของราคาและการบริการ  แต่ถึงแม้ว่าตลาดกาแฟในประเทศไทยจะแข่งขันรุนแรง  ในวิกฤตินั้นก็ยังมีโอกาส เนื่องจากอัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยยังมีอัตราส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว  และประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น  จึงทำให้หลายแบรนด์มองไทยเป็นประเทศหอมหวานน่าลงทุน


LastUpdate 06/10/2560 20:23:44 โดย : Admin
19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 9:23 pm