การตลาด
สกู๊ป "สยามฟิวเจอร์" กางแผน 3 ปลุกศูนย์การค้าใหม่รอบทิศ


         หลังจากเงียบหายไปนานสำหรับการประกาศแผนทางธุรกิจสำหรับบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือเอสเอฟ  ล่าสุดก็ออกมาประกาศแผนขยายธุรกิจทีเดียวรวด 5 ปีว่าจะขยายศูนย์การค้าใหม่ทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่รอบกรุงเทพฯ เลยทีเดียว เนื่องจากปัจจุบันมีที่ดินอยู่ในมือจำนวนมากทั้งแปลงเล็กแปลงใหญ่ จึงต้องเริ่มนำมาทยอยพัฒนา เพราะไม่เช่นนั้นอาจเสียเปรียบคู่แข่งทางธุรกิจได้

  

 

นอกจากจะให้ความสำคัญกับเปิดศูนย์การค้าใหม่ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กแล้ว เอสเอฟ ยังจะให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและต่อเติมพื้นที่ของศูนย์การค้าเดิมที่มีอยู่  เนื่องจากบางแห่งเปิดให้บริการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว รูปแบบของศูนย์การค้าอาจจะมีความล้าสมัยไปบ้าง ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงภาพลักษณ์ของศูนย์การค้าเก่าให้มีความทันสมัย  ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มบริการใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้านำมาให้บริการเพิ่มเติมอีกด้วย

ปัจจุบัน เอสเอฟ มีโครงการค้าปลีกที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมดจำนวน 22 โครงการ รวมพื้นที่เช่าประมาณ  409,600 ตร.. ประกอบด้วย 11 แบรนด์ ได้แก่  เอสพลานาด รัชดาภิเษก 1 สาขา  ,ลา วิลลา 1 สาขา , เจ อเวนิว  1 สาขา,  ดิอเวนิว 3 สาขา  ,มาร์เกตเพลส 7 สาขา  ,พาวเวอร์เซ็นเตอร์ 2 สาขา(รวมบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์)  ,สยามฟิวเจอร์เซ็นเตอร์ 3 สาขา ,ปิยรมย์ เพลส (ร่วมทุนกับแม็กโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวลลอปเม้นท์) 1 สาขา ,เมกาบางนา (ร่วมทุนกับ อิคาโน่ เอเชีย) 1 สาขา ,เฟสติวัล วอล์ค 1 สาขา และอิมเมจิ้น วิลเลจ 1 สาขา

นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ (เอสเอฟ) จำกัด(มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการศูนย์การค้า กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจนับตั้งแต่ปีนี้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี(2560-2563) บริษัทมีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท พัฒนาศูนย์การค้าโครงการใหม่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศูนย์การค้าส่วนต่อขยายและปรับปรุงศูนย์การค้าเก่า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว

 

 

สำหรับศูนย์การค้าใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คือ มาร์เก็ตเพลส ทุ่งมหาเมฆ ส่วนต่อขยาย  โดยขณะนี้การก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จสมบูรณ์แล้ว  คาดว่าในเดือนพ..นี้ จะพร้อมเปิดให้บริการอย่างแน่นอน  ซึ่งในส่วนของพื้นที่เฟสนี้จะตั้งอยู่บนที่ดินใหม่ประมาณ 1.2 หมื่นตร.. ได้ใช้งบลงทุนไปประมาณ 600 ล้านบาท โดยหลังจากเปิดให้บริการในส่วนของพื้นที่ต่อขยายเรียบร้อย  เอสเอฟ จะทำการทุบโครงการเก่าที่มีพื้นที่ประมาณ 3,000-4,000 ตร.. ทันที เพื่อให้มาร์เก็ตเพลส ทุ่งมหาเมฆ  มีความครบวงจรมากขึ้น

นอกจากนี้ เอสเอฟ ยังมีแผนที่จะทำการปรับปรุงโครงการมาร์เก็ตเพลส ทองหล่อ ด้วยการขยายพื้นที่ค้าปลีกจาก 30,000  ตร..เป็น 60,000 ตร..เพื่อให้โครงการมีความครบวงจรมากขึ้น โดยการพัฒนาโครงการเป็นมิกซ์ยูส  ก่อสร้างเพิ่มเติมในส่วนของอาคารสำนักงาน และร้านอาหาร  เพื่อให้โครงการมีความครบวงจรและมีความเหมาะสมกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น  เนื่องจากก่อนหน้านี้มีพื้นที่ค้าปลีกเปิดให้บริการเพียงอย่างเดียว ซึ่งในส่วนของโครงการนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

นายนพพร  กล่าวอีกว่า ในส่วนของโครงการเมกา บางนา บริษัทก็ได้มีการพัฒนาส่วนต่อขยายเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง  โดยโครงการเฟส 2 จะเป็นในส่วนของโครงการเมกาซิตี้  เพิ่มพื้นที่ในส่วนของค้าปลีกเข้าไป  เพื่อให้โครงการเมกา บางนา มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยขณะนี้ได้เริ่มทยอยเปิดให้บริการพื้นที่ส่วนต่อขยายเฟส  2 ไปบ้างแล้ว ส่วนโครงการในเฟสที่ 3 จะเป็นเดอะ มาร์เวล เอ็กซ์พีเรียนซ์  แหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนท์แห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ และเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

โครงการดังกล่าวถือเป็นการจับมือร่วมกันระหว่างบริษัท ฮีโร่ เอ็กซ์พีเรียนซ์ ร่วมทุนกับกลุ่มนักธุรกิจคนไทยด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์  ในการลงทุนจัดสร้างเดอะ มาร์เวล เอ็กพีเรียนซ์ ซึ่งบริษัทได้รับลิขสิทธิ์จากมาร์เวล เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทภายใต้เครือวอลท์ ดีสนีย์ สหรัฐอเมริกา เพื่อนำโครงการเดอะ มาร์เวล เอ็กพีเรียนซ์ มาเปิดให้บริการในประเทศไทย  โดยขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว  มีความคืบหน้าประมาณ10% และมีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2561

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการ เดอะ มาร์เวล เอ็กพีเรียนซ์  จะมีขนาดพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 10,000 ตร.  ใช้งบลงทุนไปกว่า 1,000 ล้านบาท  ภายในโครงการจะประกอบด้วยโซนต่างๆ อาทิ โซนเด็ก โซนอาหารและเครื่องดื่ม โซนสินค้าลิขสิทธิ์  และโซนแอทเทรคชั่น  ซึ่งบริษัทได้รับลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์ซุเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล  8,000 คาแรกเตอร์  ที่จะนำมาสร้างประสบการณ์ภายในโซนต่างๆ  ให้กับนักท่องเที่ยว  ส่วนอัตราค่าเข้าใช้บริการ  ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา  โดยค่าเข้าใช้บริการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีราคาประมาณ 35 ดอลล่าร์ต่อครั้ง  คาดว่าในประเทศไทยจะมีอัตราค่าใช้บริการที่ใกล้เคียงกัน

สำหรับโครงการส่วนต่อขยายเฟสที่ 4 นั้น  จะเป็นศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งจะทยอยดำเนินการก่อสร้างไปอย่างต่อเนื่อง  หลังจากโครงการในส่วนของเฟสที่ 3 เสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้บริการ  หลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในส่วนของเฟสที่ 5 ซึ่งจะเป็นในส่วนของโรงแรมและอาคารสำนักงาน  เบื้องต้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพัฒนาโครงการให้มีความสมบูรณ์แบบไม่ต่ำกว่า 10 ปี

 

 

อีกหนึ่งโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2561 คือ มาร์เก็ตเพลซ ดุสิต โครงการนี้ลงทุนไปประมาณ 300-400 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีที่ดินพร้อมพัฒนาอีก 2 แปลง คือ รังสิต จำนวน 950 ไร่ และบางใหญ่อีกประมาณ 50-60 ไร่ ซึ่งในส่วนของรังสิต บริษัทมีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการทาวน์ ชิป ดีเวลลอปเมนท์ครบวงจรในอนาคต เช่นเดียวกับโครงการย่านบางใหญ่

หลังจากเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง เอสเอฟ มั่นใจว่าสิ้นปี 2560 นี้จะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้  เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการที่บริหารอยู่มากถึง 22 โครงการ ส่งผลให้ปัจจุบันมีพื้นที่เช่ารวม 408,563 ตร.. มีทรัพย์สินรวม 14,920 ล้านบาท  มีรายได้รวมในปี 2559 ที่ผ่านมา 2,006 ล้านบาท

จากการขยายตัวของโครงการต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เอสเอฟ มั่นใจว่านับจากนี้อีก 3 ปี จะมีรายได้เติบโตอย่างก้างกระโดดอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นเท่าไหร่นั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ ซึ่งในส่วนของทำเลหลักที่จะยึดเป็นหัวหอกในการขยายธุรกิจ เอสเอฟ ยังคงเน้นไปที่เขตกรุงเทพฯและปริมณฑล  เนื่องจากมีความชำนาญและมีที่ดินอีกหลายแปลงที่รอการพัฒนา โดยเฉพาะย่านรังสิตที่มีมากถึง 950 ไร่


LastUpdate 28/10/2560 13:46:59 โดย : Admin
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 8:27 pm