กรมสุขภาพจิต ออกบัญญัติสุข 10 ประการ เป็นสูตรของความสุข ให้ประชาชนยึดเป็นแนวปฏิบัติ ในปี 2561ประกอบด้วย ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที ค้นหาจุดแข็งความถนัดตัวเอง ฝึกหายใจคลายเครียด ฝึกมองโลกในแง่ดี บริหารเวลาระหว่างงานสุขภาพและครอบครัวลงตัว จัดการปัญหารอบตัวเชิงรุก ให้สิ่งดีๆให้คนอื่น ยึดหลักศาสนาดำเนินชีวิต มีเวลาให้ครอบครัว และเอ่ยปากชื่นชมคนรอบข้างอย่างจริงใจ โดยให้เริ่มปฏิบัติข้อที่ทำได้ง่ายๆก่อนแล้วจึงค่อยๆขยายผลไปข้ออื่น การันตีชีวิตจะยืนยาว มีความสุข มีรอยยิ้ม จิตใจดีขึ้นแน่นอน
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า ในปีใหม่ 2561 นี้ ประชาชนไทยส่วนใหญ่จะถือเป็นฤกษ์ดีในการดำเนินชีวิตใหม่ ซึ่งกรมสุขภาพจิตได้จัดทำบัญญัติสุข 10 ประการ เป็นสูตรแห่งความสุขของคนไทย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้มาจากการศึกษาวิจัยทั้งในและต่างประเทศ และข้อคิดเห็นจากปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อใช้เป็นแนวทางสร้างความสุขในชีวิตทั้งในระดับส่วนบุคคล ครอบครัว และชุมชน โดยข้อมูลการศึกษาวิจัยยืนยันว่าความสุขของคนเรานั้น ครึ่งหนึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม อีกร้อยละ 40 เป็นผลมาจากวิธีคิดและกิจกรรมที่ทำ และประมาณร้อยละ 10 เกิดขึ้นจากสถานการณ์ชีวิตในขณะนั้น ดังนั้นเราจึงสามารถเติมความสุขให้ชีวิตด้วยการปรับวิธีคิดและเลือกทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขได้ จากบัญญัติสุข 10 ประการ มีดังนี้
1.ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ช่วยให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส มีสมาธิ การตัดสินใจดีขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ระบบประสาทอัตโนมัติผ่อนคลาย สร้างและซ่อมแซมเซลล์สมองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพิ่มความสามารถทำงานของสมอง ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น นอนหลับอย่างมีคุณภาพ เพิ่มสรรถภาพทางเพศ ลดความกังวลและลดซึมเศร้า ผลการวิจัยพบว่าการเดินออกกำลังกายทุก 1 นาที จะช่วยยืดอายุขัยของชีวิตได้ถึง 2 นาที การออกกำลังกายให้ถือหลักว่า ทำได้แค่ไหน ให้ทำแค่นั้น และเลือกกิจกรรมที่เราสนุกสนาน เพลิดเพลิน อาจทำเองคนเดียวหรือทำกับเพื่อนก็ได้
2.ค้นหาจุดแข็ง ความถนัดและศักยภาพตัวเอง และพัฒนาจนเป็นความสำเร็จ เป็นภารกิจที่สำคัญของชีวิตทุกกลุ่มอายุ จะช่วยนำพาสิ่งที่ดีที่สุดภายในตัวเราออกมาใช้ประโยชน์ สร้างความสำเร็จและความภาคภูมิใจ จุดแข็งจัดเป็นคุณลักษณะด้านดีของบุคคล เช่นความอดทน ความอยากรู้อยากเห็น เป็นต้น ส่วนความถนัดเป็นความสามารถเฉพาะด้าน เช่นถนัดทางดนตรี การคิดวิเคราะห์ การใช้ภาษา เป็นต้น ส่วนศักยภาพภายใน เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน หากเป็นพ่อแม่ การมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกก็คือการช่วยเขาค้นพบตัวเอง ค้นพบจุดแข็ง ความถนัดและศักยภาพ เพื่อวางแผนชีวิตที่ดี เป็นหลักประกันความสุขที่ยั่งยืนในอนาคต
3. ฝึกการหายใจคลายเครียด ทำทุกครั้งเมื่อเจอปัญหาหรือรู้สึกตึงเครียด จะทำให้การคิดแก้ปัญหาต่างๆดีขึ้น มีหลักง่ายๆ 3 ข้อ คือการหายใจสบายๆอย่างเป็นธรรมชาติ แต่หายใจออกให้ยาวขึ้นโดยรู้ตัว การหายใจออกให้ยาวกว่าการหายใจเข้า ประมาณ 2 เท่า เช่นนับเลข 1-2-3-4 เมื่อหายใจเข้า และกลั้นไว้ จากนั้นนับเลข 1-2-3-4-5-6-7-8 เมื่อหายใจออก และการหายใจโดยวางความรู้สึกไว้ที่ท้องขณะหายใจออก จะรับรู้ได้ว่าท้องแฟบ
4.คิดทบทวนสิ่งดีๆในชีวิตและฝึกมองโลกในแง่ดี เป็นการฝึกฝนตัวเองให้รู้จักมองเห็นสิ่งดีที่เกื้อหนุนชีวิต ช่วยให้มีกำลังใจและมีความสุข ควรทำเป็นประจำ ด้วยการตั้งคำถามตัวเองว่า วันนี้ /สัปดาห์นี้มีสิ่งดีๆอะไรเกิดขึ้นบ้างอย่างน้อย 5 เรื่อง ส่วนการฝึกมองโลกในแง่ดี จะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาและเห็นโอกาสที่แฝงมากับปัญหา ช่วยให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น โดยให้ตั้งคำถามเมื่อพบปัญหาว่า ปัญหานี้มีแง่ดีอะไรบ้าง พยายามเปิดใจรับความคิดใหม่ๆ ที่ช่วยเรามองเห็นบทเรียนชีวิตที่ได้จากปัญหา
5. บริหารเวลาให้สมดุลระหว่างการงาน สุขภาพและครอบครัว การงานเปิดโอกาสให้เราใช้ศักยภาพ สร้างความสำเร็จ สร้างรายได้ มีสังคม มีเพื่อน ส่วนสุขภาพทั้งกายและจิตใจ เป็นทุนสำคัญของชีวิต หากเจ็บป่วยเราก็จะไม่มีความสุข และครอบครัวเป็นแหล่งกำลังใจและความสุขที่สำคัญในชีวิตคนเรา ควรวางแผนใช้เวลาให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เพิ่มเวลาให้กับเรื่องที่มีความสำคัญ ลดเวลาในเรื่องที่ไม่สำคัญหรือสำคัญน้อยกว่า
6. คิดและจัดการปัญหาเชิงรุก ด้วยสติและปัญญา ไม่ปล่อยให้ปัญหาต่างๆที่เข้ามากำหนดความเป็นไปของชีวิต ควรจัดเวลาทำความเข้าใจยอมรับปัญหาและคิดหาทางเลือกในการก้าวเดินอย่างเป็นขั้นตอน จะช่วยให้เกิดความรู้สึกว่าเรายังตัดสินใจเรื่องต่างๆได้ จัดการชีวิตได้ ไม่เสียเวลาไปกับการคิดกังวลเกินควร
7. มองหาโอกาสในการมอบสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นเป็นการสร้างความสุขใจที่ลึกซึ้ง เมื่อเราช่วยผู้อื่นให้เป็นสุข ตัวเราเองก็มีความสุขไปด้วย กิจกรรมที่เป็นแหล่งความสุขอย่างดีคือกิจกรรมอาสาสมัคร มีงานวิจัยพบว่าคนที่ช่วยเหลือผู้อื่น จะมีชีวิตยืนยาวขึ้น
8.ศึกษาและปฏิบัติตามหลักคำสอนศาสนา จะได้รับประโยชน์คือมีสังคม มีจุดหมายทำสิ่งต่างๆมากขึ้น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเช่น ดื่มสุรา ใช้สารเสพติด และเข้าใจชีวิต มีความพอใจชีวิต มีอารมณ์ดีกว่า ส่งผลให้อัตราการหย่าร้างต่ำกว่า และมีชีวิตที่ยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่สนใจคำสอนศาสนา อีกทั้งยังช่วยบ่มเพาะความเมตตากรุณาในใจด้วย
9. ให้เวลาและทำกิจกรรมความสุขร่วมกับสมาชิกในครอบครัวเป็นประจำ ควรยอมรับข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ฝึกการรับฟังอย่างใส่ใจ ลดเวลาดูทีวีลงและจัดเวลาทำกิจกรรมความสุขร่วมกัน ช่วยกันทำงานบ้าน อย่าให้ความสำคัญเงินทองและวัตถุมากเกินไป อย่าตำหนิลูกในทุกความผิดพลาด และ 10. ชื่นชมคนรอบข้างอย่างจริงใจ เป็นการฝึกจิตใจมองเห็นด้านดีของมนุษย์ มองเห็นสิ่งดีในชีวิต กล่าวคำชื่นชมด้วยความจริงใจทุกครั้งที่มีโอกาส คำชื่นชมของเราจะเพิ่มกำลังใจ เติมความสุขและเสริมให้เขาทำสิ่งดีๆยิ่งขึ้น และฝึกการชื่นชมตัวเองด้วย
“ ในแต่ละบัญญัติมีประโยชน์ในการเติมความสุขในแง่มุมที่ต่างกัน วิธีการปฏิบัติอาจเลือกปฏิบัติตามบัญญัติที่รู้สึกว่าเหมาะกับตนเอง หรือเลือกบัญญัติที่ยังไม่ค้นเคยก่อน เพื่อเรียนรู้และเติมสุขในรูปแบบใหม่ๆ แล้วจึงขยายผลไปเรื่อยๆจนครบ 10 ประการ จะเกิดผลดีอย่างมากในการเสริมสร้างให้ตนเองมีสุขภาพจิตดีและเมื่อสุขภาพจิตดี สุขภาพกายจะดีตามไปด้วย” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
ข่าวเด่น