การตลาด
เสนาจับมือฮันคิว เปิด 'นิช ไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์'


เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เผยแผนลงทุนช่วงไตรมาสแรก เดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ หวังโกยยอดขาย 2,500 ล้าน โชว์ยอดรอโอน 6,000-7,000 ล้านบาท 

 


 

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการ "นิช ไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์"ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นในนามบริษัท เสนา-ฮันคิว 1 จำกัด เป็นคอนโดมิเนียมสูง 38 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 742 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 28-49 ตาราเมตร  ราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตารางเมตรละ 130,000 บาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 3 ไร่ ติดสถานีรถไฟฟ้าเตาปูน   มูลค่าโครงการ 3.4 พันล้านบาท จะเปิดขายพรีเซลวันที่  10 มีนาคมนี้ ปัจจุบันได้เปิดขายให้กับลูกค้าวีไอพีแล้ว มียอดขาย 500 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย 80% ภายใน 1 ปี

โครงการนี้เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างเสนาฯและบริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น และมีแผนที่จะพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นการพัฒนาโครงการระดับบนเป็นหลัก โดยในนี้ จะมีโครงการที่พัฒนาภายใต้บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น 3 โครงการ มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งอึก 2โครงการร่วมทุนจะทยอยเปิดตัว หลังจากเปิดโครงการนิช ไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ ซึ่งจะมีแบรนด์ใหม่เปิดตัวในปีนี้เพิ่มมา 1 แบรนด์ เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับบนที่ตั้งอยู่ทำเลในเมืองย่านเอกมัย วางแผนเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการใหม่ที่จะเปิดในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ อีก 3 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียมทั้งหมด โดยจะเปิดขายในวันเดียวกัน ซึ่งการพัฒนาโครงการจะมีความหลากหลายมากขึ้น เป็นโครงการระดับกลางบนมากขึ้น ราคาเฉลี่ยยูนิตละ 2-3 ล้านบาท ในสัดส่วน 36% จากปีที่ผ่านมาที่เน้นระดับราคา 1-2 ล้านบาท ในสัดส่วน 53% โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการที่ราคาสูงขึ้นมาจากราคาที่ดินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การพัฒนาโครงการมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและทำให้ราคาขายปรับเพิ่มขึ้นตาม

 


 

นางสาวเกษรา กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในไตรมาสแรก อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายรวมในปีนี้ที่ 1.03 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ยังไม่ได้เปิดโครงการใหม่ เป็นการขายโครงการที่ได้เปิดไปแล้วในปีก่อนและขายโครงการที่มีอยู่ในสต็อก ทำให้มียอดขายเข้ามาเล็กน้อยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ในภาพรวมเห็นทิศทางที่ดีขึ้นจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่ยังมีอยู่ และความมั่นใจที่ฟื้นตัวกลับมา หลังจากแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้น ส่งผลบวกต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย

ปัจจุบัน มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 3,600 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 7,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยขายและโอนอย่างต่อเนื่อง ส่วนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) สิ้นปีนี้ อยู่ที่ 6,000-7,000 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ สัดส่วน 50% ของยอด Backlog ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัททำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5,200ล้านบาท


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 13 ก.พ. 2561 เวลา : 01:20:07
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 12:23 pm