การตลาด
สกู๊ป 'เถ้าแก่น้อย' เร่งเครื่องบุกตลาดอเมริกาย้ำ 'เส้นทางโกลบอลแบรนด์'


ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่องสำหรับแบรนด์เถ้าแก่น้อยเนื่องจากปี 2567 แบรนด์เถ้าแก่น้อยต้องการจะก้าวเข้าสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์ด้วยการมีรายได้ทะลุ 10,000 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2560 ที่ผ่านมา เถ้าแก่น้อย  สามารถก้าวสู่ครึ่งทางของเป้าหมายได้แล้ว  ด้วยการคว้ารายได้ทะลุ 5,000 ล้านบาท ก้าวเข้าสู่แบรนด์ชั้นนำระดับเอเชีย

เพื่อพาแบรนด์ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ได้มีการเข้าซื้อกิจการ จิม แฟคทอรี่ อิ้งค์(GIM Factory Inc.) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตสาหร่ายในสหรัฐอเมริกา คิดเป็นมูลค่า 2.015 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ หรือกว่า 68.65 ล้านบาท เพื่อทำการผลิตสาหร่ายทำตลาดภายในประเทศสหรัฐอเมริกา  เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่และยังมีโอกาสให้เข้าไปทำตลาดได้อีกมาก

 

 

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้เข้าซื้อกิจการ จิม แฟคทอรี่ อิ้งค์(GIM Factory Inc.)  ไปเมื่อปีที่ผ่านมา ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนลงทุนเครื่องจักร ทีมงาน และระบบขนส่ง  เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการผลิตสินค้า โดยในอีก 3 เดือนนับจากนี้  บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มทำการผลิตสาหร่ายและวางจำหน่ายสินค้าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาได้

แนวทางการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น จากเดิมจะเน้นทำการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายชาวเอเชียเป็นหลัก ซึ่งจากแผนการดำเนินงานดังกล่าว เถ้าแก่น้อย คาดว่าในอีก 18 เดือนนับจากนี้น่าจะมียอดขายสาหร่ายอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่กว่า 300 ล้านบาท

เหตุผลที่ทำให้ เถ้าแก่น้อย เลือกสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ตัวสำคัญ  สำหรับการก้าวเข้าสู่โกลบอลแบรนด์ คือ  ตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ค)ในอเมริกาเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่  เนื่องจากมีมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ  ในมูลค่าดังกล่าวเป็นตลาดสาหร่ายประมาณ 200 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะมีขนาดเล็กแต่มีอัตราการเติบโตมากถึง 30-40% และมีผู้เล่นรายหลักเพียง 2 แบรนด์เท่านั้น ที่เหลือเป็นเฮ้าส์แบรนด์ที่ใช้ต่างประเทศผลิต

นายอิทธิพัทธ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ เพราะหากนำมูลค่าตลาดมาเปรียบเทียบกับประเทศจีน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากตลาดสแน็คในประเทศสหรัฐอเมริกามีมูลค่ามากกว่าจีนถึง 3 เท่า จึงนับเป็นโอกาสดีที่บริษัทจะเข้าไปขยายธุรกิจในประเทศดังกล่าว ซึ่งหลังจากบริษัททำตลาดในสหรัฐอเมริกาครบ 18 เดือน คาดว่าจะมีสัดส่วนยอดขายยู่ที่ประมาณ 10% จากรายได้การส่งออกในปัจจุบันที่มีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

 

 

ส่วนแผนการทำตลาดในประเทศจีนนั้น เถ้าแก่น้อย ยังเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เนื่องจากจีนมีตลาดสาหร่ายที่ใหญ่ เห็นได้จากยอดขายที่ได้รับจากประเทศจีนที่มีมูลค่าสูงถึง  2,000 ล้านบาทต่อปี จากการจำหน่ายใน 4 เมือง คือ กวางเจา เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเสิ่นเจิ้น ส่วนตลาดที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ก็จะเดินหน้าขยายตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากเป็นตลาดที่ขายดี

นายอิทธิพัทธ์ กล่าวอีกว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการเดินหน้าสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์ที่จะต้องทำการตลาดไป 100 ประเทศทั่วโลก จากปัจจุบันบริษัทสามารถส่งออกสินค้าไปทำตลาดได้แล้ว 50 ประเทศ ทำให้ปัจจุบันเถ้าแก่น้อยกลายเป็นแบรนด์ระดับเอเชียไปเรียบร้อยแล้ว และเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายยอดขายที่ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2567 บริษัทจะเดินหน้าขยายตลาดส่งออกอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนการทำตลาดในประเทศไทยปี 2560 ที่ผ่านมาแบรนด์เถ้าแก่น้อยได้รับความนิยมอย่างมาก ส่งผลให้สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายได้มากถึง 72% จากตลาดรวมสาหร่ายในปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท แบ่งเป็นสาหร่ายทอด 1,820 ล้านบาท สาหร่ายอบ 442 ล้านบาท สาหร่ายย่าง  338 ล้านบาท  

จากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าวในปีนี้ เถ้าแก่น้อย จึงขอต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ในทุกด้าน ทั้งด้านคุณภาพสินค้า ด้านรสชาติเพื่อให้ถูกปากผู้บริโภค และดีต่อสุขภาพ ภายใต้แนวคิดเทสตี้แอนด์เฮลท์ตี้ (Tasty & Healthy) รวมถึงการขยายฐานผู้บริโภคไปยังผู้ที่ชื่นชอบขนมขบเคี้ยว และต้องการขนมที่มีรสชาติอร่อย มีความเป็นธรรมชาติ และดีต่อสุขภาพ

 

 

นอกจากนี้ ยังได้ทุ่มงบประมาณการตลาดกว่า 40 ล้านบาท ดึง นิชคุณ หรเวชกุล หนุ่ม K-POP สายเลือดไทยจากวง 2PM (ทูพีเอ็ม) มาเป็นพรีเซนเตอร์คนล่าสุด เนื่องจากภาพลักษณ์ของ นิชคุณ ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ จนได้มีโอกาสร่วมงานในฐานะศิลปินของวงเกาหลีอย่าง 2PM (ทูพีเอ็ม) และถือได้ว่าเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ร่วมงานกับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง JYP (เจวายพี) จนเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับแบรนด์ DNA ของสาหร่ายเถ้าแก่น้อยที่สร้างตลาดจนเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในตลาดสแน็คประเภทสาหร่ายในปัจจุบันและเป็นรู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ

พร้อมกันนี้  ยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ หยิบคุณค่าจากทะเล เพื่อสื่อสารไปยังผู้บริโภคให้รับรู้ถึงความอร่อยและมีประโยชน์ของสาหร่ายเถ้าแก่น้อยที่มีทั้ง วิตามินเอบี และไฟเบอร์ ภายใต้สโลแกนใหม่สาหร่ายเถ้าแก่น้อย อร่อยฟินๆ ได้คุณค่าจากสาหร่ายทะเล” ซึ่งหลังจากออกมาทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เถ้าแก่น้อย มั่นใจว่าสิ้นปี 2561 นี้จะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน หลังจากปี 2560 ที่ผ่านมามีรายได้ไม่เป็นที่น่าพอใจมากนัก เนื่องจากกำไรสุทธิไตรมาส4 จำนวน 142.2 ล้านบาท คิดเป็น 9.3% ของรายได้จากการขายลดลง 20.8%

สำหรับภาพรวมผลประกอบการในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทปิดรายได้ไปประมาณ 5,200 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 60% และภายในประเทศ 40% โดยในส่วนของธุรกิจต่างประเทศมีอัตราการเติบโตที่ 15% ขณะที่ธุรกิจในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 8% ส่งผลให้ภาพรวมมีอัตราการเติบโตที่ 12% ส่วนกำไรสุทธิปี 2560 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 608.4 ล้านบาท ลดลง 22.2% จากปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 781 ล้านบาท คิดเป็น 11.60% ของรายได้จากการขาย เนื่องจากมีสาเหตุหลักมาจากต้นทุนสาหร่ายที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการนําเข้าสาหร่ายประมาณ 43 ล้านบาท


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 มี.ค. 2561 เวลา : 15:24:41
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 7:52 am