แม้ว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจภายในประเทศไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการส่งออกที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และภาคการท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น แต่หากมองไปที่พฤติกรรมของผู้บริโภคภายในประเทศถือว่ายังน่าเป็นห่วง เพราะสินค้ารายตัวยังมียอดขายไม่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างหนัก เพื่อกระตุ้นยอดขาย
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว สะท้อนภาพให้เห็นชัดขึ้นจากผลการการวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคเชิงลึก เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าอุปโภค-บริโภคที่มีอัตราการหมุนเวียนสูง หรือ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ของบริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ในช่วงปี 2560 ที่ผ่าน มีการขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 4% หรือมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 4.42 แสนล้านล้านบาท การขยายตัวที่ลดลงดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปี 2559 ตลาด FMCG ยังสามารถขยายตัวเติบโตได้ที่ 1.7% แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้น เช่นเดียวกับปี 2558 ที่ยังเติบโตได้ที่ 2.2% และปี 2557 มีอัตราการเติบโตได้ที่ 2.6%
สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด คือ กลุ่มของใช้ในครัวเรือน (Home Care) มีอัตราการเติบโตที่ประมาณ 4.1% กลุ่มสินค้าส่วนบุคคลเติบโตที่ 2.6% ส่วนกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมีการขยายตัวติดลบ -2.4% เนื่องจากผู้บริโภคหันมาประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น จึงทำให้กลุ่มสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเด่นชัดที่สุด
นายอิษณาติ วุฒิธนากุล ผู้อํานวยการด้านพัฒนาธุรกิจ บริษัท กันตาร์ เวิร์ลดพาแนล (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2561 และ 2562 นี้ จะเป็นปีที่ยากลําบากของผู้ประกอบการธุรกิจ โดยเฉพาะกับธุรกิจ 2 กลุ่มหลัก คือ ผู้ผลิตสินค้า FMCG และ ผู้ประกอบการค้าปลีก เนื่องจากปี 2561 นี้ จะเป็นปีที่มีอัตราเติบโตตํ่าอีก 1 ปี เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ บริโภค ซึ่งมี 3 ปัจจัยให้ต้องจับตามอง คือ 1. การลดจํานวนทริปในการออกไปจับจ่ายถึงแม้ผู้ค้าปลีกจําเป็ ชนต้องออกโปรโมชั่นมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นให้เพิ่มความถี่ในการออกมาจับจ่ายได้ เพราะกลุ่มนักช้อปมีพฤติกรรมชอบเปลี่ยนแหล่งช้อปปิ้งไปเรื่อยๆ เพื่อแสวงหาสินค้าและโปรโมชั่นที่ดีที่สุด คุ้มค่า และประหยัดเงิน
ปัจจัยที่ 2 คือ การขยายสาขาของผู้ประกอบการค้าปลีก ทําให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันอย่างหนักในการนําเสนอโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเลือกจุดจับจ่าย และปัจจัยที่ 3 คือ การตัดกลุ่มสินค้าที่ไม่จําเป็นออก เพราะจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง ทำให้เหล่านักช้อปยุคปัจจุบันมีการวางแผนการซื้อสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประเภท Package Grocery ซึ่งจะเลือกซื้อกลุ่มสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีความต่าง และหลากหลายเท่านั้น จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดขายของแบรนด์สินค้า โดยตรง
จากการระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยดังกล่าว ทำให้ กันตาร์ ออกมาคาดการณ์ด้านแนวโน้มการเติบโตการจับจ่ายซื้อสินค้า FMCG ในปี 2561-2562 ว่า ยังไม่สดใส เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ยังอยู่ในอัตราที่ลดลง ดังนั้น การฟื้นตัวจะต้องใช้เวลา ทําให้การเติบโตเป็นไปได้อย่างช้าๆ คาดว่าในปี 2561 ตลาด FMCG จะมีการขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 1% และในปี 2562 คาดว่าจะกลับมาพลิกฟื้นด้วยการเติบโตเป็นบวกได้ที่ประมาณ 2%
ส่วนตลาดตัวเมืองและตลาดชนบท นั้น จากผลสํารวจพบว่า เหล่านักช้อป โดยเฉพาะ ผู้ที่อยู่ในตัวเมืองนิยมทําการจับจ่ายไปทั่ว เพื่อให้ประหยัดที่สุด ผู้ประกอบการค้าปลีก รวมถึง รูปแบบการค้าปลีกขนาดใหญ่ยังคงใช้กลยุทธ์การอัดโปรโมชั่น เพื่อดึงดูดเหล่านักช้อป และเน้นการขยายสาขา เพื่อบริการที่ครบวงจรครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
นายอิษนาติ กล่าวว่า สิ่งที่น่าสังเกต คือ กลุ่มนักช้อปในตัวเมืองนั้น นอกจากจะลดความถี่ในการออกไปจับจ่ายแล้วยังไม่ยึดติดกับการซื้อในจุดเดิมๆ แต่กลับเลือกจุดจับจ่ายไปทั่ว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกเกิดการแข่งขันในการขยายจุดขาย ส่วนช่องทางการขายผ่านร้านสะดวกซื้อ ปีนี้ถือว่ามาแรง ขณะที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต ยังคงเน้นไปที่การรักษาฐานลูกค้าเดิม สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คาดว่าน่าจับตาปี 2563 เนื่องจากปีนี้ยังคงเป็นปีที่หลายธุรกิจอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม เพื่อทำธุรกิจดังกล่าว
อย่างไรก็ดี จากการขยายตัวในทิศทางที่ดีของธุรกิจ ร้านสะดวกซื้อ ทำให้ช่องทางขายดังกล่าวมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นปี ละ 0.5% ซึ่งหากยังคงรักษาอัตราการขยายตัวได้ในระดับนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2562 คาดว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะกลายเป็ นช่องทางอันดับ 1 ของธุรกิจ Modern trade สําหรับตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคภายในครัวเรือนอย่างแน่นอน ส่วนช่องทางไฮเปอร์ มาร์ เก็ต ยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งช่องทางการตลาดอย่างคงที่ เนื่องจากผู้ประกอบการในธุรกิจยังคงเน้นการแข่งขันทำสงครามโปรโมชั่นกันอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเทสโก้ โลตัส หรือ บิ๊กซีซูเปอร์มาร์เก็ต
นายอิษนาติ กล่าวปิดท้ายว่า อีก 10 ปีนับจากนี้ ธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ น่าจะเป็นช่องทางที่มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากสามารถขยายส่วนแบ่งช่องทางการตลาดแบบเท่าตัวในแต่ละปี ช่องทางนี้จะมีแนวโน้มที่สามารถแซงหน้าช่องทางซุปเปอร์มาร์เก็ต (Chain Supermarket) ได้ในปี 2563 (2020)
แต่อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดจะเกิดขึ้นเ กลุ่มนักช้อปในประเทศไทยเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางว่าธุรกิจไหนจะสามารถเดินต่อไปได้ และธุรกิจไหนอาจต้องหยุดชะงัก แต่ไม่ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างไร หากธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เท่าทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสินค้านั้น และธุรกิจนั้นๆ ก็จะยังสามารถเดินก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ข่าวเด่น