การตลาด
สกู๊ป 'ฟิลิปส์' ไลท์ติ้งทรานฟอร์องค์กรสู่ 'ซิกนิฟาย' สู่ธุรกิจแสงสว่าง IoT


หลังจากออกมาประกาศเจตจำนงค์ว่าจะแยกตัวออกมาจากบริษัท รอยัล ฟิลิปส์ ในปี 2557 เพื่อให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจมีความชัดเจนในด้านของการดำเนินธุรกิจแสงสว่าง เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัท รอยัล ฟิลิปส์ เน้นการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ  ส่งผลให้บริษัท ที่ฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง ซึ่งชื่อในไทยคือ บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ต้องเดินหน้าเปลี่ยนชื่อธุรกิจอย่างจริงจัง เนื่องด้วยข้อกำหนดในทางกฎหมาย เมื่อแยกตัวออกมาบริษัท รอยัล ฟิลิปส์ แล้วต้องทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ภายใน 18 เดือน

 

 

สำหรับชื่อใหม่ที่บริษัท ฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง เลือกนำมาใช้ เพื่อสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจแสงสว่างระดับโลก และเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายบริษัท ฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง ทั่วโลกจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นซิกนิฟาย” (Signify) ซึ่งมีผลไปเมื่อวันที่ 16 ..ที่ผ่านมา

นายเอริค รอนโดลัต ประธานผู้บริหาร บริษัท ซิกนิฟาย กล่าวว่า ที่มาของชื่อบริษัทใหม่นี้มาจากการที่บริษัทมองว่า แสง ได้กลายเป็นภาษาอัจฉริยะใหม่ ที่ทั้งเชื่อมต่อและสื่อความหมายที่มากไปกว่าการให้ความสว่าง ดังนั้น บริษัทจึงได้เลือกชื่อ ซิกนิฟาย มาเป็นชื่อบริษัทใหม่  เพราะชื่อนี้แสดงออกถึงความชัดเจนของวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธและวัตถุประสงค์ของบริษัทที่ต้องการปลดล็อกศักยภาพอันเหนือชั้นของแสง เพื่อชีวิตที่สว่างสดใสและโลกที่ดียิ่งกว่า

อย่างไรก็ดี แม้ว่าบริษัท ฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง จะเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ซิกนิฟาย แต่ในส่วนของการทำตลาดผลิตภัณฑ์แสงสว่างยังคงใช้ชื่อ แบรนด์ฟิลิปส์ เช่นเดิมภายใต้สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing Agreement) ที่มีกับรอยัล ฟิลิปส์ (Royal Philips) โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลในทุกประเทศภายในต้นปี 2562

ทั้งนี้ ตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท ฟิลิปส์ ที่เมืองไอโทเว่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฟิลิปส์ ไลท์ติ้งก็ได้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมแสงสว่าง ด้วยนวัตกรรมสำหรับทั้งอุตสาหกรรมและผู้บริโภคมากว่า 127 ปี โดยในปี 2559 ฟิลิปส์ ไลท์ติ้งได้แยกตัวออกจากกลุ่มฟิลิปส์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยูโรเน็กซ์ที่อัมสเตอดัม (Euronext Stock Exchange) และอยู่ในดัชนี AEX ตั้งแต่เดือนมี.. 2561

 

 

ด้าน นายเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  ในส่วนของประเทศไทยขณะนี้ยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ซิกนิฟาย จำกัด  เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการขออนุญาติจดทะเบียนชื่อบริษัทกับกระทรวงพาณิชย์  แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากดำเนินการจดทะเบียนชื่อบริษัทใหม่แล้วเสร็จคงต้องมีการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และการทำงานภายในองค์กร เริ่มจากการทำนามบัตรแนะนำตัวเองของพนักงาน  และการสร้างการรับรู้ถึงการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ไปถึงลูกค้า

สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนับจากนี้นั้น  ฟิลิปส์ จะให้ความสำคัญกับการพาธุรกิจก้าวไปสู่ Internet of Things (IoT) อย่างเต็มตัว ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการที่มากกว่าการให้ความสว่าง ด้วยการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์แสงสว่างไปสู่สินค้าและบริการอื่นอย่างไร้รอยต่อ 

 

ปัจจัยหลักที่ทำให้ ฟิลิปส์ ต้องปรับกลยุทธ์ออกมาให้ความสำคัญกับ IoT มากขึ้นนั้น  เนื่องจากเทรนด์พัฒนาการแสงสว่างในปัจจุบัน LED กำลังใกล้ถึงจุดอิ่มตัว และกำลังมุ่งสู่การเป็นระบบแสงสว่าง (Integrated system) ซึ่งอัตราการเจริญเติบโตกำลังสูงขึ้น รวมถึงการนำเสนอบริการต่างๆ (Services) โดยเฉพาะตลาดอุตสาหกรรม เราต้องการเป็นผู้นำในการนำเทรนด์ใหม่ที่เหนือยิ่งกว่า คือ “Light as a new intelligent language” จึงทำให้ต้องปรับตัว เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

 

นายเฉลิมพงษ์ กล่าวว่า  แม้ว่าขณะนี้ในประเทศไทย LED จะยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว  แต่เพื่อเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก  บริษัทจึงต้องหาสินค้าและบริการใหม่ๆที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในยุคปัจจุบัน เพราะ     แสงสว่างในฐานะภาษาใหม่ กลายเป็นสิ่งที่ต้องการการเชื่อมต่อและสื่อความหมายได้  ดังนั้น  เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์แสงสว่าง  บริษัทจึงต้องทำการปลดล็อกศักยภาพที่เหนือกว่าของแสงสว่าง

และเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้  ฟิลิปส์  จึงได้มีการใช้งบลงทุน  4.8%  ของรายได้รวมไปกับการทำ R&D เรื่อง Internet of Things  ซึ่งหลังจากทำการศึกษาวิจัยและค้นคว้าก็พบว่า  พฤติกรรมความต้องการใช้แสงสว่างของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เช่น กลุ่มธุรกิจ Hospitality room piece(โรงแรมที่พัก)  ต้องการแสงสว่างที่หลากหลาย  เพื่อให้ผู้พักมีประสบการณ์การพักที่ดีที่สุด  ด้วยการเซ็ทซีนต่างๆ ได้  และสามารถควบคุมได้ผ่านศูนย์กลาง

เช่นเดียวกับธุรกิจ Retail (ค้าปลีก)  แสงไฟที่ใช้ก็จะมีความแตกต่างกันไป  เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาตำแหน่งสินค้าตามแผนที่ที่พาไป และสามารถทำป๊อบอัพบอกโปรโมชั่นได้วัดโฟลว์คนเดิน  เพื่อการวางแผนได้  ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวถือเป็น  Mega trend  ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

นายเฉลิมพล กล่าวอีกว่า  จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น   และการที่เทคโนโลยีเข้าไปมีบทบาทในชีวิตของผู้บริโภค ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป   นอกจากนี้  การขยายของเมืองก็ทำให้ความต้องการใช้แสงเพิ่มขึ้น   ขณะเดียวกันก็มีความต้องการใช้แสงสว่างที่ประหยัดไฟ   พร้อมเชื่อมต่อกับระบบดิจิทัลต่างๆได้  เพื่อเพิ่มประโยชน์การใช้งานนอกเหนือไปจากความสว่าง

นอกจากจะให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ แล้ว ในปีนี้ ฟิลิปส์ ยังมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มองค์กรต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อผลักดันให้สิ้นปีมีรายได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้  ส่วนภาพรวมตลาดแสงสว่างของไทยในปีนี้คาดการณ์กันว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 พ.ค. 2561 เวลา : 11:36:40
24-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 8:07 am