การตลาด
สกู๊ป 'เบอร์เกอร์คิง' ประกาศหาทำเลศักยภาพ ลุยเปิดร้าน 24 ชั่วโมง


แม้ว่าปัจจุบันผู้บริโภคจะหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น แต่ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดก็ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการดำรงชีวิตของคนในยุคปัจจุบันมีความเร่งรีบมากขึ้น ทำให้มีเวลาในการรับประทานอาหารลดลง  ซึ่งปัจจัยนี้น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดยังมีอัตราการเติบโตสูง และมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงต่อเนื่อง

 

 

จากความนิยมในการบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเริ่มมองหาโอกาสในการขายสินค้าให้ได้มากขึ้น ซึ่งรูปแบบร้านที่หลายแบรนด์ให้ความสนใจขยายมากขึ้น คือ การเปิดร้านไดร์ฟทรู หรือร้านสแตนอโลนที่สามารถเปิดได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

เหตุผลที่ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดให้ความสำคัญกับการเปิดร้าน 24 ชั่วโมงมากขึ้นนั้น นอกจากจะขยายอาหารได้ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว การที่ห้างค้าปลีกคิดค่าเช่าในระดับที่สูง ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดตัดสินใจที่จะไปเช่าพื้นที่ภายในปั้มน้ำมัน โรงพยาบาล และคอมมูนิตี้มอลล์ หรือแหล่งชุมชนเปิดร้านอาหารกันมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนในด้านของค่าใช้จ่าย 

 

 

 

นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบอร์เกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า   แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการเปิดร้านใหม่ในรูปแบบไดร์ฟทรูมากขึ้น เนื่องจากสามารถเปิดให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่สาขาในห้างค้าปลีกต้องเปิดปิดตามเวลา ส่งผลให้มีข้อจำกัดในด้านของการขายสินค้า เมื่อเทียบกับร้านไดร์ฟทรูที่สามารถขายได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำให้ร้านไดร์ฟทรูมียอดขายสูงกว่าร้านที่เปิดในห้างค้าปลีก ด้วยเหตุนี้นับจากนี้ไปอีก 3-5 ปี บริษัทจึงจะเน้นการเปิดร้านใหม่ในรูปแบบไดร์ฟทรูเป็นหลัก

สำหรับแผนการขายสาขาในปีนี้ เบอร์เกอร์คิง จะเปิดร้านในรูปไดร์ฟทรูประมาณ 10 สาขา จากจำนวนสาขาทั้งหมดที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ประมาณ 15 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาจะใช้งบลงทุนประมาณ 20-25 ล้านบาท โดยทำเลที่จะเน้นเป็นพิเศษในการเปิดร้านในรูปแบบไดร์ฟทรู คือ ปั้มน้ำมัน  จากปัจจุบัน เบอร์เกอร์คิง มีร้านไดร์ฟทรูที่เปิดให้บริการในปั้มน้ำมันประมาณ 25 สาขา กระจายอยู่ใน 5 แบรนด์ คือ ปตท.,บางจาก ,เอสโซ่ ,เชลล์ และคาร์เทกซ์

นอกจากนี้ ยังจะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักอีกส่วนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยจังหวัดที่ให้ความสนใจเข้าไปขยายสาขา คือ ภูเก็ต  และศรีราชา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

อีกหนึ่งทำเลที่ เบอร์เกอร์คิง ให้ความสนใจ คือ สนามบิน เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีชาวต่างชาติเดินทางเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นแล้วทำเลสนามบินยังช่วยในด้านของการสร้างแบรนด์สินค้าได้เป็นอย่างดี โดยในส่วนของปีนี้ เบอร์เกอร์คิง คาดว่าจะเปิดเพิ่มได้อีกอย่างน้อย 1 สาขาในสนามบินหาดใหญ่ จากปัจจุบันมี 14 สาขา  ส่วนทำเลในอาคารสำนักงาน และโรงพยาบาลก็มีความสนใจที่จะเข้าไปขยายสาขาเช่นกัน โดยเฉพาะในโรงพยาบาล

ปัจจุบันร้านเบอร์เกอร์ คิง มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 86 สาขา ทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ 45 สาขา ต่างจังหวัด 27 สาขา และสาขาในสนามบินกว่าอีก 14 สาขา

นายประพัฒน์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเบอร์เกอร์ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถือว่ายังเป็นธุรกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงธุรกิจเดลิเวอรี่ของบริษัทที่ได้รับผลการตอบรับที่ดีเกินคาด ซึ่งมีผลมาจากเว็บไซต์ www.delivery.burgerking.co.th ที่เปิดให้บริการ เพื่อเป็นการเพิ่มรูปแบบการให้บริการสั่งอาหารแบบออนไลน์และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยในช่วงเดือนมิ..ที่ผ่านมายอดขายเดลิเวอรี่ของบริษัทมีอัตราการเติบโตมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ เบอร์เกอร์คิง ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคมาโดยตลอด 

นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ไปในส่วนของการสั่งซื้อสินค้าผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ด และการจำหน่ายสินค้าผ่านพันธมิตรฟู้ดเดลิเวอรี่อย่างฟู้ดแพนด้า  จากเดิมมีเพียงบริการสั่งซื้อสินค้าผ่านคอลเซ็นเตอร์ 1112 เพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกในการซื้อสินค้ามากขึ้น 

 

 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำผู้นำของตลาดเบอร์เกอร์เนื้อสูตรพรีเมียม เบอร์เกอร์ คิง จึงได้มีการนำเมนู เนื้อแองกัส เข้ามาทำตลาดอีกครั้ง จุดเด่นของเนื้อดังกล่าวคือ คุณภาพดี นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย 100% ซึ่งเป็นเนื้อวัวสายพันธ์แองกัสที่เติบโตในทุ่งหญ้าแบบเปิดโล่ง ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสภาพสิ่งแวดล้อมที่เย็นสบายของประเทศออสเตรเลีย จึงทำให้เนื้อนั้นมีคุณภาพที่ดี 

 

การกลับมาของเนื้องแองกัสในครั้งนี้ เบอร์เกอร์คิง ได้นำมารังสรรค์ผ่าน 2 เมนูใหม่ คือ  แองกัสเอ็กซ์ที สเต็กเฮาส์ (AngusXT Steakhous) เนื้อแองกัสชิ้นหนาขนาด 155 กรัม ย่างบนเปลวไฟผสมสเต็กเฮาส์ซอส เบคอน อเมริกันชีส 2 แผ่น ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ พร้อมขนมปังนุ่ม ในราคาชิ้นละ 229 บาท หรือชุดละ 289 บาท และเมนู แองกัสเอ็กซ์ที แบล็คทรัฟเฟิล (AngusXT Black Truffle) เนื้อแองกัสชิ้นหนาขนาด 155 กรัม ย่างบนเปลวไฟผสมกับซอสแบล็คทรัฟเฟิลที่นำเข้าจากอิตาลี ผสมกับเห็ดแชมปิญองและสวิสชีส 2 แผ่น พร้อมขนมปังนุ่ม ในราคาชิ้นละ 279 บาท หรือชุดละ 329 บาท

อย่างไรก็ดี หลังจากเดินหน้าขยายช่องทางขาย และทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เบอร์เกอร์คิง คาดว่าสิ้นปี 2561 น่าจะมียอดขายเติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตไปสูงถึง 30%   


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 13 ก.ค. 2561 เวลา : 11:10:41
19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 4:22 am