หลังจากภาครัฐอัดงบหลายแสนล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ขณะนี้เม็ดเงินที่อัดฉีดลงไปดังกล่าวเริ่มเห็นผล เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งจากแนวโน้มดีที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจเริ่มมีผลประกอบการออกมาเป็นบวก บางบริษัทมีรายได้เติบโตสูงกว่าจีดีพีของประเทศหลายเท่าเช่นเดียวกับบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
นอกจากจะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว การที่ กลุ่มเซ็นทรัล มีการเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ กลุ่มเซ็นทรัล มียอดขายเติบโตโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทำให้ กลุ่มเซ็นทรัล มั่นใจว่าสิ้นปี 2561 นี้จะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ 12% แน่นอน
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2561 มียอดขายเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทมีการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวบริการออมนิแชแนลรูปแบบใหม่ “เซ็นทรัล แชท แอนด์ ช้อป (Central Chat & Shop)” เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อพนักงานได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ ทั้งสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ รวมถึงสั่งซื้อและเลือกให้สินค้ามาส่งที่บ้าน หรือไปรับสินค้าด้วยตนเอง ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวบริษัทมั่นใจว่าสิ้นปีจะมีรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโต 12%
อย่างไรก็ดี หากมองเป็นกลุ่มธุรกิจกลุ่มที่น่าจับตามอง คือ สินค้าประเภทของใช้ในบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาธุรกิจดังกล่าวมีอัตราการเติบโตสูงด้วยตัวเลขสองหลัก โดยเฉพาะเพาเวอร์บาย ออนไลน์ ที่มียอดจำหน่ายเติบโตมากถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ภายหลังจากกลุ่มเซ็นทรัล มีการเปิดตัวเว็บไซต์ออมนิแชแนล รวมถึงร้านซูเปอร์สปอร์ตก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากลูกค้า หลังจากการเปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์โฉมใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ที่มาพร้อมนิวคอนเซ็ปต์ที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ และลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์แอ็คทีฟ แฟล็กชิพสโตร์แห่งนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน
ส่วนธุรกิจที่เป็นหัวใจอย่างธุรกิจศูนย์การค้า และอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การดูแลของ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ก็มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะซีพีเอ็น เรสซิเดนซ์ ที่เริ่มสร้างรายได้หลังจากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 โครงการแรกที่ขอนแก่น เชียงใหม่ และระยอง ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของซีพีเอ็นในฐานะผู้พัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส
นอกจากนี้โครงการอื่น ๆ ของ ซีพีเอ็น ก็เป็นไปตามเป้าหมาย และในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ซีพีเอ็น ได้เปิดตัวโครงการเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต เฟส 2 ซึ่งเป็นศูนย์การค้าและไลฟ์สไตล์ฮับระดับลักชัวรี่ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของกลุ่มเซ็นทรัลในจังหวัดภูเก็ต ขณะเดียวกัน ยังถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าไฮเอนด์และนักท่องเที่ยว เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีการนำแม่เหล็กใหม่มาเปิดให้บริการ เช่น สวนสนุกไตรภูมิ และ “อะควาเรีย” อะควาเรียมแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นต้น
ในปีนี้นอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจค้าปลีกภายในประเทศแล้ว กลุ่มเซ็นทรัล ยังให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในประเทศเวียดนามอีกด้วย โดยล่าสุด กลุ่มเซ็นทรัล ได้ออกมาประกาศจะใช้งบมากกว่า 16,500 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจในประเทศเวียดนามในอีก 5 ปีนับจากนี้ เพื่อสร้างฐานธุรกิจในประเทศเวียดนามให้มีความแข็งแกร่งเหมือนกับประเทศไทย เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี โดยในปี 2561 นี้ประเทศเวียดนามมีการคาดการณ์การว่าจีดีพีจะเติบโตสูงถึง 7%
สำหรับธุรกิจโรงแรมอย่างเซ็นทารา ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น ภายหลังได้รับอานิสงส์มาจากกระแสการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เติบโต และมีนักท่องเที่ยวจากชาติต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ยอดการจองห้องพักมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เช่นเดียวกับธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตของบริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ที่ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการเปิดตัว “ตลาดจริงใจ” ตลาดชุมชนคอนเซ็ปต์ใหม่ในจังหวัดอุดรธานี เพื่อจำหน่ายสินค้าออร์แกนิกจากฟาร์มในท้องถิ่น ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อสินค้าสดใหม่ ดีต่อสุขภาพ และยังช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน พร้อมขยายความสำเร็จสู่จังหวัดอื่น ๆ ในอนาคต
หลังจากประสบความสำเร็จในด้านของยอดขายเป็นอย่างดีในช่วงครึ่งปีแรก กลุ่มเซ็นทรัล ก็เดินหน้าลุยต่อขยายธุรกิจในครึ่งปีหลังทันที หนึ่งในธุรกิจที่ถือเป็นไฮต์ไลท์ของครึ่งปีหลังนี้ คือ การเปิดตัว แอปพลิเคชั่น The1 โฉมใหม่ ที่สมาชิกสามารถจัดการคะแนนสะสมได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะแลกรางวัลหรือโอนคะแนนก็สามารถทำได้ง่ายๆ รวมถึงสามารถเช็คโปรโมชั่น กดรับคูปอง หาร้านค้า และรับสิทธิพิเศษต่างๆ จากทุกกลุ่มธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล และพันธมิตรอื่น ๆ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ กลุ่มเซ็นทรัล ก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน หลังจากเซ็นสัญญาร่วมมือกับ JD.com เมื่อปลายปีก่อน เกิดเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ JD.co.th ของเจดี เซ็นทรัล (JD Central) ที่ได้ทดลองเปิดตัวไปเมื่อเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมาพบว่าได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้ง่ายแล้ว ยังมีความพร้อมในด้านของระบบการจัดส่งสินค้า การชำระเงิน และการให้บริการลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาช้อปปปิ้งออนไลน์มีความประทับใจเมื่อเข้ามาช้อปปิ้งซื้อสินค้า
นายทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่กลุ่มเซ็นทรัลเติบโตขึ้นในทุก ๆ ด้าน ส่วนหนึ่งมีปัจจัยมาจากนโยบายทางเศรษฐกิจ และแนวทางต่าง ๆ ของภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การสื่อสาร และการคมนาคมของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ ทำให้ยอดการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในทุกประเภทสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น ของใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออาหาร ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวบริษัทมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะมีรายได้ 397,308 ล้านบาทตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลมีนโยบายลงทุนครั้งใหญ่ในด้านคมนาคม ด้วยเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการขยายทางด่วน พัฒนารถไฟความเร็วสูง เพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่ง และโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ภาคบริการสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต และเกิดความเชื่อมโยงระหว่างเมืองต่าง ๆ ต่อยอดเป็นความมั่นคงในธุรกิจค้าปลีกและพาณิชย์ทั่วประเทศ
ข่าวเด่น