คุณภาพชีวิต
กรมสุขภาพจิต เบรคกระแสติดโซเชียล แนะเพิ่มการศึกษาพื้นฐาน ให้เด็กรุ่นใหม่มีภูมิคุ้มกันการใช้ อินเตอร์เน็ต


กรมสุขภาพจิต ชี้ผลกระทบด้านสุขภาพจิตจากการติดโซเชียลมากที่สุด คือเกิดภาวะซึมเศร้า รองลงมาปัญหาวิตกกังวล และภาวะอารมณ์แปรปรวน รวมทั้งส่งผลเสียทั้งต่อตัวเอง และต่อสังคม ที่รุนแรงในแต่ละช่วงวัย ปัจจุบันมีการบรรจุการติดโซเชียลเป็นโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับการวินิจฉัย และบำบัด เร่งหาแนวทางป้องกันที่ต้นเหตุ โดยเสนอให้เพิ่มการศึกษาพื้นฐาน ให้เด็กรุ่นใหม่มีภูมิคุ้มกันในการใช้การใช้งานอินเตอร์เน็ต

 

 

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานเฟสบุคเกือบ 600 ล้านคนทั่วโลก และมีราวๆ 10 ล้านคนในไทย สถิตการใช้ทุกๆ 20 นาที มีการอัพโหลดรูปถ่ายมากกว่า 3.7 ล้านรูป แชร์ ลิงก์ และอัฟเดทสเตตัส มากว่าล้านข้อความ โดยเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนทั่วโลกมีแนวโน้มจะติดโลกโซเชียลมากขึ้น คือ การไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยว,  ต้องการการมีตัวตนมากกว่าที่เป็นอยู่ มากกว่าที่คิดมีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่น พอๆกับต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องของตน และการโหยหาแรงสนับสนุนและการยอมรับจากสังคม  ทั้งนี้มีรายงานการศึกษาผลกระทบจาการติดโซเชียล พบว่า ทำเกิดความชุกที่จะเสพติดอาหารและช้อปปิ้งร้อยละ 29.5 ทำให้มีปัญหาภาวะซึมเศร้า ร้อยละ 27.7 และทำให้เกิดอาการวิตกกังวล และภาวะอารมณ์แปรปรวน ร้อยละ 21.1 นอกจากนี้ ยังพบว่าการติดโซเชียลก่อให้เกิดผลเสียทั้งต่อตัวเองและต่อสังคมที่รุนแรงในแต่ละช่วงวัย เช่น ในกลุ่มวัยก่อนเรียน พบปัญหาสมาธิสั้น สูญเสียทักษะสังคม และการเสียการเรียนรู้จากประสบการณ์ และการลงมือทำ กลุ่มวัยเรียนก่อให้เกิดปัญหาด้านความรุนแรง อ้วน,สายตาเสียเสียวินัยและผลการเรียนลดลง  กลุ่มวัยรุ่นทำให้เกิดค่านิยมการบริโภคติดอินเตอร์เน็ต การรังแกกันทางโซเชียล,การล่อลวงค่านิยม และพฤติกรรมทางเพศ ผิดปกติ เป็นต้น 

 

 

สำหรับการป้องกันแก้ไขปัญหา ปัจจุบันได้มีการบรรจุการติดโซเชียล เป็นโรคทางจิตเวชปะเภทหนึ่งที่ต้องได้รับการวินิจฉัย และบำบัด โดย แบ่งประเภทของการติดโซเชียลมีเดีย เป็น 3 แบบ คือ  ติดสาระ เช่น ติดเกม ติดพนัน ,  ติดสัมพันธ์ เช่น ติดเฟสบุ๊ค และติดอุปกรณ์ เช่นติดรุ่นของสมาร์ทโฟน โดยหากสงสัยว่าติดโซเชียล ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ สายด่วนสุขภาพจิต 1323  อย่างไรก็ตามแนวทางที่ผ่านเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ  ดังนั้นจึงได้มีการระดมนักวิชาการเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้นในเวทีการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติที่ผ่านมา ผลมีการเสนอให้เพิ่มหลักสูตรการศึกษาพื้นฐาน ให้เด็กรุ่นใหม่มีภูมิคุ้มกันในการใช้การใช้งานอินเตอร์เน็ต เพื่อให้เด็กรู้เท่าทัน ตระหนักถึงผลเสียจากการใช้โซเชียลที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งเรียนรู้วิธีการใช้อย่างเหมาะสม และจะต้องเพิ่มการให้คำแนะนำพ่อแม่ที่ศูนย์คลินิกเด็กดี ศูนย์เด็กเล็กและรร.อนุบาลให้เข้าใจผลเสีย และไม่ควรให้ลูกได้อุปกรณ์จอใสก่อนอายุ 5 ขวบ

 

 

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต แนะนำการควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตใน ครอบครัว ว่าให้ใช้หลัก “3 ต้อง 3 ไม่” คือ ต้องกำหนดเวลาต้องกำหนดรายการ ต้องเล่นกับลูก  และไม่ใช้อินเตอร์เน็ตในห้องนอน ในเวลาที่เป็นเวลาของครอบครัว  และพ่อแม่ผู้ปกครองต้องไม่เป็นแบบอย่างที่ผิด พร้อมแนะนำข้อควรปฏิบัติในการใช้อินเตอร์เน็ต คือ Do รู้เป้าหมาย ควบคุมเวลา ใช้วิจารณญาณกับเนื้อหา และใช้เพื่อทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต และ Don’t คือ อย่าทำด้วยความรู้สึก เช่น เล่นอินเตอร์เน็ต เพราะรู้สึกเบื่อ เหงา ตื่นเต้น เล่นไป เรื่อยๆ งมงาย รุนแรงลามก จมปลัก  แต่ควรใช้อินเตอร์เน็ต ด้วยเหตุผล เช่น เพื่อ ค้นหาความรู้  เพื่อผ่อนคลายความเครียด นพ.ยงยุทธ กล่าว


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 ส.ค. 2561 เวลา : 10:57:25
24-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 12:10 pm