พอปรับหลังบ้านเริ่มเข้าที่เข้าทาง ช่องพีพีทีวี ก็เตรียมเปิดเกมรุกหนัก เพื่อถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในอันดับเทียร์ 2 ทันที หลังจากได้ นายพลากร สมสุวรรณ เข้ามาเสริมทัพในตำแหน่ง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ โดยกลยุทธ์ที่ช่องพีพีทีวีจะนำมาเป็นหวัดเด็ดในการเรียกเรตติ้งผู้ชม เพื่อก้าวเข้าสู่เทียร์ที่ 2 อย่างถาวรในอันดับที่ต่ำกว่าเลข 10 คือ การทำคอนเทนต์บันเทิง เพื่อขยายฐานผู้ชมในกลุ่มผู้หญิง
ปัจจุบันช่องพีพีทีวี หลังจากปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการเจาะกลุ่มผู้ชมผู้ชาย ด้วยการนำกีฬารายการต่างๆ มาออกอากาศไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ , บุนเดสลีกา, ลา ลีกา, กัลโช่ เซเรีย อา, ลีก เอิง และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก , ยูฟ่า ,ยูโรป้า ลีก ,ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ,การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ MotoGP และ Moto2 รวมไปถึงการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2018
จากความแข็งแกร่งในด้านของคอนเทนต์กีฬาที่มีอยู่ดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบัน ฐานผู้ชมของช่องพีพีทีวีเป็นกลุ่มคนดูผู้ชายประมาณ 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% เป็นกลุ่มผู้ชมผู้หญิง ซึ่งจากคอนเทนต์กีฬาที่มีความหลากหลาย และล้วนแต่เป็นคอนเทนต์ระดับโลก ส่งผลให้ปัจจุบันเรตติ้งของช่องพีพีทีวีเริ่มขยับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และเอเชียนเกมส์ ทำให้ช่องพีพีทีวีสามารถถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าเลข 10 และจากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายโฆษณาที่ขายเริ่มต้นที่นาทีละ 10,000 บาท ขยับเพิ่มเป็นนาทีละ 3 แสนบาทในช่วงที่มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี กล่าวว่า คอนเทนต์บันเทิงที่บริษัทจะนำมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องนั้นจะมีทั้งในส่วนของรายการวาไรตี้ ซีรีส์จากต่างประเทศ และละครไทย โดยในส่วนของละครไทยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการผลิต ซึ่งเบื้องต้นบริษัทได้วางไว้ว่าในแต่ละปีจะต้องผลิตละครมาออกอากาศให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10 เรื่อง เพื่อให้มีความต่อเนื่องในการออกอากาศ
ส่วนคอนเทนต์รายการวาไรตี้ ล่าสุดช่องพีพีทีวี ได้ใช้งบสูงถึง 500 ล้านบาท คว้าลิขสิทธิ์รายการ "เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018 เสียงจริง ตัวจริง" จำนวน 3 รายการมาออกอากาศใน 3 ซีซัน ประกอบด้วย เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018 ซึ่งจะเป็นรายการประกวดร้องเพลงสำหรับคนทั่วไป , เดอะ วอยซ์ คิดส์ รายการประกวดร้องเพลงสำหรับเด็กอายุ 4-13 ปี และเดอะ วอยซ์ซีเนียร์ รายการประกวดร้องเพลงสำหรับผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยรายการแรกที่จะนำมาออกอากาศในปี 2561 นี้ คือ เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018
นอกจากนี้ ยังมีรายการฟอร์แมทดังจากต่างประเทศ ที่มีฐานผู้ติดตาชมเหนียวแน่น อย่าง รายการ "เดอะ เฟซเมน ไทยแลนด์ 2" รายการที่จะค้นหาหนุ่มหล่อ มากความสามารถ เพื่อผลักดันเข้าสู่วงการบันเทิง โดยจะคัดเลือกจากการ เดินแบบ ถ่ายแบบ และการแสดง ซึ่งจะถูกทดสอบจาก 3 เมนเทอร์สมากประสบการณ์
สำหรับผังรายการใหม่ที่จะเริ่มขึ้นในต้นเดือนก.ย.นี้ เริ่มจากผังรายการช่วงเช้า ด้วยรายการสารคดี "ชั่วโมง ดิสคัฟเวอรี่" ออกอากาศทุกวันจันทร์-อาทิตย์ ออกอากาศเวลา 08.00-09.00 น. ตามด้วย เอเชียนซีรีส์ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-10.00 น. โดยเรื่องแรกที่จะนำมาออกอากาศ คือ ซีรีส์เกาหลีเรื่อง รักห่างไกล หัวใจไม่ห่างกัน (Far Away Love) เริ่มตอนแรกจันทร์ที่ 3 ก.ย.นี้ อีกหนึ่งรายได้วาไรตี้ที่จะนำมาออกอากาศช่วงเช้า คือ รายการ "บางกอกซิตี้ เลขที่ 36" ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-10.30 น.
ขณะที่ช่วงเวลาไพรม์ไทม์วันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.15-21.45 น. จะมีการนำเสนอซีรีส์ใหม่มาออกอากาศภายใต้ชื่อ "36 Series Hits" ประเดิมด้วยซีรีส์เกาหลีเรื่อง "รักมั้ยคะ เลขาคิม" (What's Wrong with Secretary Kim?) เริ่มออกอากาศวันแรกในวันที่ 5 ก.ย.นี้
หลังจากผ่านเดือน ก.ย. ไปก้าวเข้าสู่ช่วงเดือน ต.ค. ช่องพีพีทีวีจะนำเสนอรายการซีซันนัลโปรแกรมใหม่ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มต่างประเทศอย่าง "เดอะ เฟซเมน ไทยแลนด์ 2" มาออกอากาศเริ่มวันอาทิตย์ที่ 2 ต.ค.นี้ เวลา 20.15-21.45 น. หลังจากนั้นเดือน พ.ย. จะต่อด้วยการนำรายการ "เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018" มาออกาอากาศ ส่วนวันและเวลาจะเป็นอย่างไรนั้น ขณะนี้ทางช่องพีพีทีวี ยังอยู่ระหว่างการวางแผนการตลาด แต่เบื้องต้น สุรินทร์ คาดว่าจะเป็นวันธรรมดาช่องไพร์มไทม์ เพราะวันธรรมดาช่วงไพร์มไทม์ก็สามารถเป็นเวลาของครอบครัวได้
นายสุรินทร์ กล่าวว่า จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้ปี 2561 นี้บริษัทใช้งบในการลงทุนคอนเทนต์สูงกว่าปี 2560 ประมาณ 50% เนื่องจากในปีนี้มีการซื้อลิขสิทธิ์รายการกีฬาสำคัญหลายรายการ ประกอบกับมีการซื้อลิขสิทธิ์รายการจากต่างประเทศมาออกอากาศเพิ่มเติม เพื่อขยายฐานผู้ชมเพิ่ม ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวบริษัทคาดว่าในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ ช่องพีพีทีวีน่าจะมีเรตติ้งติดอันดับท็อป 5 ของช่องทีวีดิจิทัลโดยรวม โดยช่วงเวลาดังกล่าวคาดว่าจะสามารถลดการขาดทุนได้สำเร็จและเริ่มมีผลประกอบการกลับมาเป็นบวก ซึ่งคอนเทนต์ที่บริษัทจะนำมาออกอากาศยังคงเน้นไปที่ระดับเวิลด์คลาส
ส่วนภาพรวมของอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ถือว่ามีการเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากช่องหลักที่เคยมีเรตติ้งอยู่ในอันดับต้นๆ ก็เริ่มเสียตำแหน่งและความแข็งแกร่งลงไป ภายหลังจากประเทศไทยมีทีวีเพิ่มเป็น 24 ช่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้คอนเทนต์มีความหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้ชมก็เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต้องปรับตัวตามให้ทัน เพื่อเรียกเรตติ้งกลับคืนมา
ข่าวเด่น