การตลาด
สกู๊ป 'พีพีทีวี' ปลุกแผนคอนเทนต์บันเทิงขยายฐานผู้ชมหวังขึ้นท็อป 5 ใน 2-3 ปี


พอปรับหลังบ้านเริ่มเข้าที่เข้าทาง ช่องพีพีทีวี  ก็เตรียมเปิดเกมรุกหนัก  เพื่อถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในอันดับเทียร์ 2 ทันที หลังจากได้ นายพลากร  สมสุวรรณ  เข้ามาเสริมทัพในตำแหน่ง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่  โดยกลยุทธ์ที่ช่องพีพีทีวีจะนำมาเป็นหวัดเด็ดในการเรียกเรตติ้งผู้ชม  เพื่อก้าวเข้าสู่เทียร์ที่ 2 อย่างถาวรในอันดับที่ต่ำกว่าเลข 10 คือ  การทำคอนเทนต์บันเทิง  เพื่อขยายฐานผู้ชมในกลุ่มผู้หญิง  

 

 

 

ปัจจุบันช่องพีพีทีวี หลังจากปัจจุบันประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการเจาะกลุ่มผู้ชมผู้ชาย  ด้วยการนำกีฬารายการต่างๆ มาออกอากาศไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ , บุนเดสลีกา, ลา ลีกา, กัลโช่ เซเรีย อา, ลีก เอิง และยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก , ยูฟ่า ,ยูโรป้า ลีก ,ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ,การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบ MotoGP  และ  Moto2  รวมไปถึงการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ 2018  

จากความแข็งแกร่งในด้านของคอนเทนต์กีฬาที่มีอยู่ดังกล่าว  ส่งผลให้ปัจจุบัน ฐานผู้ชมของช่องพีพีทีวีเป็นกลุ่มคนดูผู้ชายประมาณ  60%  ส่วนที่เหลืออีก  40%  เป็นกลุ่มผู้ชมผู้หญิง  ซึ่งจากคอนเทนต์กีฬาที่มีความหลากหลาย  และล้วนแต่เป็นคอนเทนต์ระดับโลก  ส่งผลให้ปัจจุบันเรตติ้งของช่องพีพีทีวีเริ่มขยับเพิ่มขึ้น  โดยเฉพาะการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ  และเอเชียนเกมส์  ทำให้ช่องพีพีทีวีสามารถถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าเลข 10  และจากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ราคาขายโฆษณาที่ขายเริ่มต้นที่นาทีละ 10,000 บาท ขยับเพิ่มเป็นนาทีละ 3 แสนบาทในช่วงที่มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ  

 

 

 

 

นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี กล่าวว่า  คอนเทนต์บันเทิงที่บริษัทจะนำมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องนั้นจะมีทั้งในส่วนของรายการวาไรตี้  ซีรีส์จากต่างประเทศ  และละครไทย  โดยในส่วนของละครไทยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการผลิต  ซึ่งเบื้องต้นบริษัทได้วางไว้ว่าในแต่ละปีจะต้องผลิตละครมาออกอากาศให้ได้ไม่ต่ำกว่า 10 เรื่อง  เพื่อให้มีความต่อเนื่องในการออกอากาศ

ส่วนคอนเทนต์รายการวาไรตี้  ล่าสุดช่องพีพีทีวี ได้ใช้งบสูงถึง 500 ล้านบาท   คว้าลิขสิทธิ์รายการ "เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018 เสียงจริง ตัวจริง"  จำนวน 3 รายการมาออกอากาศใน 3 ซีซัน  ประกอบด้วย  เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018  ซึ่งจะเป็นรายการประกวดร้องเพลงสำหรับคนทั่วไป , เดอะ วอยซ์ คิดส์  รายการประกวดร้องเพลงสำหรับเด็กอายุ 4-13 ปี   และเดอะ  วอยซ์ซีเนียร์    รายการประกวดร้องเพลงสำหรับผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป  โดยรายการแรกที่จะนำมาออกอากาศในปี 2561 นี้  คือ  เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018

นอกจากนี้  ยังมีรายการฟอร์แมทดังจากต่างประเทศ ที่มีฐานผู้ติดตาชมเหนียวแน่น อย่าง รายการ "เดอะ เฟซเมน ไทยแลนด์ 2" รายการที่จะค้นหาหนุ่มหล่อ มากความสามารถ เพื่อผลักดันเข้าสู่วงการบันเทิง โดยจะคัดเลือกจากการ เดินแบบ ถ่ายแบบ และการแสดง ซึ่งจะถูกทดสอบจาก 3 เมนเทอร์สมากประสบการณ์   

สำหรับผังรายการใหม่ที่จะเริ่มขึ้นในต้นเดือนก..นี้   เริ่มจากผังรายการช่วงเช้า  ด้วยรายการสารคดี "ชั่วโมง ดิสคัฟเวอรี่"  ออกอากาศทุกวันจันทร์-อาทิตย์   ออกอากาศเวลา 08.00-09.00 .   ตามด้วย เอเชียนซีรีส์ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-10.00 .  โดยเรื่องแรกที่จะนำมาออกอากาศ  คือ ซีรีส์เกาหลีเรื่อง รักห่างไกล หัวใจไม่ห่างกัน (Far Away Love) เริ่มตอนแรกจันทร์ที่ 3 ..นี้  อีกหนึ่งรายได้วาไรตี้ที่จะนำมาออกอากาศช่วงเช้า คือ   รายการ "บางกอกซิตี้ เลขที่ 36"  ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-10.30 .  

 

ขณะที่ช่วงเวลาไพรม์ไทม์วันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.15-21.45 . จะมีการนำเสนอซีรีส์ใหม่มาออกอากาศภายใต้ชื่อ "36 Series Hits" ประเดิมด้วยซีรีส์เกาหลีเรื่อง "รักมั้ยคะ เลขาคิม" (What's Wrong with Secretary Kim?) เริ่มออกอากาศวันแรกในวันที่  5 ..นี้

 

 

หลังจากผ่านเดือน .. ไปก้าวเข้าสู่ช่วงเดือน .. ช่องพีพีทีวีจะนำเสนอรายการซีซันนัลโปรแกรมใหม่   ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มต่างประเทศอย่าง "เดอะ เฟซเมน ไทยแลนด์ 2"  มาออกอากาศเริ่มวันอาทิตย์ที่  2 ..นี้ เวลา 20.15-21.45 . หลังจากนั้นเดือน ..  จะต่อด้วยการนำรายการ "เดอะ วอยซ์ ไทยแลนด์ 2018"  มาออกาอากาศ  ส่วนวันและเวลาจะเป็นอย่างไรนั้น  ขณะนี้ทางช่องพีพีทีวี ยังอยู่ระหว่างการวางแผนการตลาด  แต่เบื้องต้น  สุรินทร์  คาดว่าจะเป็นวันธรรมดาช่องไพร์มไทม์  เพราะวันธรรมดาช่วงไพร์มไทม์ก็สามารถเป็นเวลาของครอบครัวได้

นายสุรินทร์  กล่าวว่า  จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้ปี 2561 นี้บริษัทใช้งบในการลงทุนคอนเทนต์สูงกว่าปี 2560 ประมาณ 50%  เนื่องจากในปีนี้มีการซื้อลิขสิทธิ์รายการกีฬาสำคัญหลายรายการ ประกอบกับมีการซื้อลิขสิทธิ์รายการจากต่างประเทศมาออกอากาศเพิ่มเติม  เพื่อขยายฐานผู้ชมเพิ่ม  ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวบริษัทคาดว่าในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ ช่องพีพีทีวีน่าจะมีเรตติ้งติดอันดับท็อป 5 ของช่องทีวีดิจิทัลโดยรวม  โดยช่วงเวลาดังกล่าวคาดว่าจะสามารถลดการขาดทุนได้สำเร็จและเริ่มมีผลประกอบการกลับมาเป็นบวก  ซึ่งคอนเทนต์ที่บริษัทจะนำมาออกอากาศยังคงเน้นไปที่ระดับเวิลด์คลาส

ส่วนภาพรวมของอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา  ถือว่ามีการเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด  เนื่องจากช่องหลักที่เคยมีเรตติ้งอยู่ในอันดับต้นๆ ก็เริ่มเสียตำแหน่งและความแข็งแกร่งลงไป  ภายหลังจากประเทศไทยมีทีวีเพิ่มเป็น  24 ช่อง  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้คอนเทนต์มีความหลากหลายมากขึ้น  ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้ชมก็เปลี่ยนไป  ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต้องปรับตัวตามให้ทัน  เพื่อเรียกเรตติ้งกลับคืนมา


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 03 ก.ย. 2561 เวลา : 12:49:30
23-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 23, 2024, 5:14 pm