การตลาด
สกู๊ป 'มาลี' แตกไลน์สินค้าคอนซูเมอร์เสริมแกร่ง 'ธุรกิจน้ำผลไม้'


การทำธุรกิจในปัจจุบันถ้ามุ่งเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็อาจจะมีความเสี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้หลายบริษัทจึงพยายามแตกไลน์ธุรกิจ ด้วยการหาธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเสริมบ้างก็พัฒนาขึ้นมาเอง บ้างก็เข้าไปถือหุ้นร่วมกับพันธมิตร บ้างก็เข้าไปซื้อกิจการ เพื่อหารายได้เสริมและลดความเสี่ยงให้กับองค์กร

 

 

 

 

เช่นเดียวกับ มาลีกรุ๊ป ที่เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้องค์กร ด้วยการขยายฐานธุรกิจใหม่ครั้งแรกในรอบ 40 ปีสู่ตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคล  ด้วยการเปิดบริษัท มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด ร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้า 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม และผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการสร้างความมั่นใจตลอดวัน 

 

 

นอกจากนี้  ยังได้มีการจับมือร่วมกับ บริษัท ซีพี คอนซูเมอร์โพรดักส์ จำกัด ผลักดันการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าครอบคลุมทั่วประเทศ เพราะการมีช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งรายได้ที่ตามมา

 

 

นายโอภาส โลพันธ์ศรี ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการขายและการตลาด บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายฐานธุรกิจใหม่สู่ตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคลในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และท้าทายของมาลีกรุ๊ป ที่เน้นตลาดอาหารและเครื่องดื่มมาตลอด 40 ปี ซึ่งเป็นการต่อยอดการขยายฐานธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตขององค์กร ผ่านการร่วมทุนกับบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย (PT Kino Indonesia Tbk) ที่มีจุดแข็งด้านสินค้าอุปโภคบริโภคที่อินโดนีเซียในตลาดเครื่องใช้ส่วนบุคคล อาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยา เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้ง 2 ประเทศด้วยกำลังซื้อรวมกว่า 330 ล้านคน ตามกลยุทธ์การขยายตลาดด้วยการจับมือกับบริษัทพาร์ตเนอร์ชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงช่องทางขายและการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 154,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก ยูโรมอนิเตอร์ เดือน มี..2561) โดยทั้ง 3 ตลาดที่มาลี คีโน่ เลือกนำมาเปิดตลาดถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคตามเทรนด์การดูแลตัวเอง ประกอบด้วย 1.ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า  ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท 2.ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 29,000 ล้านบาท และ 3.ผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท 

 

 

 

 

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิว ในเซ็กเม้นท์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ได้แก่ โอแวล ไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์ (OVALE Micellar Cleansing Water) - เช็ดปุ๊บ ใสเป๊ะ ได้ทุกวัน ด้วยผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้า ริมฝีปาก และรอบดวงตา ขนาดพกพา ทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องล้างทำความสะอาดอีกครั้ง ปราศจากแอลกอฮอล์ผ่านการทดสอบ Hypoallergnic และ Dermatologically จึงอ่อนโยนเหมาะกับผิวแพ้ง่าย ช่วยทำความสะอาดให้หน้าใส นุ่ม ชุ่มชื้น ได้ทุกวัน ประกอบด้วย 2 สูตร ได้แก่ สูตรไบรท์เทนนิ่ง (สำหรับผิวปกติ) และสูตรไบร์ทเทนนิ่งฟอร์เอคเน่ สกิน (สำหรับผู้มีปัญหาสิว) ในขนาด 100 มล. ราคา 75 บาท

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมแบรนด์เอลิปส์ (ellips) มาลี กรุ๊ป ได้มีการนำเข้าสินค้าเข้ามาทำตลาด 3 รายการ ได้แก่ 1. เอลิปส์ แฮร์ วิตามิน โปร เคราติน คอมเพล็กซ์ (ellips Hair Vitamin Pro-Keratin Complex)  ตัวช่วยให้ผมสวย มั่นใจได้ทุกเวลา ด้วยแฮร์ วิตามิน แบบไม่ต้องล้างออกที่ขายดีที่สุดมาเกือบ 10 ปีในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยส่วนผสมจากโปร เคราติน คอมเพล็กซ์ ที่ช่วยปกป้องเส้นผมจากความร้อนของการเป่าผม และช่วยฟื้นฟูสภาพเส้นผมที่แห้งเสียให้กลับมามีชีวิตชีวา ประกอบด้วย 3 สูตร ได้แก่ สูตรแฮร์รีแพร์ สูตรสมูทแอนด์ซิลกี้ และสูตรซิลกี้แบล็ค ในขนาดแผง 6 แคปซูล และกระปุก 50 แคปซูล ราคา 49 บาท และ 400 บาท ตามลำดับ

2.เอลิปส์ แฮร์ มาส์ก โปร เคราติน คอมเพล็กซ์ (ellips Hair Mask Pro-Keratin Complex)  ตัวช่วยให้ผมสวย มั่นใจได้ทุกเวลา ด้วยมาส์กบำรุงเส้นผมที่ขายดีที่สุด 4 ปีซ้อนในประเทศอินโดนีเซีย ด้วยส่วนผสมจากโปร เคราติน คอมเพล็กซ์ เพียงชโลมทิ้งไว้ 3-5 นาทีหลังสระผมแล้วล้างออก สามารถช่วยฟื้นฟูเส้นผมที่แห้งเสียให้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ประกอบด้วย 3 สูตร ได้แก่ สูตรแฮร์รีแพร์ สูตรสมูทแอนด์ซิลกี้ และสูตรซิลกี้แบล็ค ในขนาด ซอง 18 กรัม และ หลอด 120 กรัม ราคา 39 บาท และ 189 บาท   

3.เอลิปส์ ดราย แชมพู (ellips Dry Shampoo)  จะเป็นสเปรย์สระผมชนิดแห้ง ช่วยทำความสะอาดและทำให้เส้นผมหอมสดชื่นสวยมั่นใจได้ทุกเวลา ประกอบด้วย 4 กลิ่น ได้แก่ กลิ่นบลอสซั่ม  กลิ่นฟรุ๊ตตี้  กลิ่นบรีซ และกลิ่นเอ็กโซติค ในขนาด 50 มล. และ 200 มล. ราคา 115 บาท และ 229 บาท 

 

 

กลุ่มผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ มาลี กรุ๊ป นำเข้ามาทำตลาด คือ  กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับช่องปากและฟัน ในเซ็กเมนต์ผลิตภัณฑ์ยาสีฟัน ได้แก่ ยาสีฟันสมุนไพรซาซ่า (Sasha Herbal Toothpaste) – พลังสมุนไพรดี ที่โลกต้องรู้ ด้วยยาสีฟันสมุนไพรที่ได้รับเครื่องหมายฮาลาล พร้อมส่วนผสมของสิวาก (Siwak) สุดยอดสมุนไพรที่องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพและลดปัญหาเกี่ยวกับช่องปากทั้ง 10 ประการ เช่น รักษาโรคเหงือก ต่อต้านเชื้อโรคในช่องปาก ทำให้ฟันขาวสะอาด ลดแบคทีเรียต้นเหตุกลิ่นปาก และช่วยรักษาและป้องกันฟันผุ ประกอบด้วย 2 สูตร ได้แก่ สูตรสมุนไพร (หลอดสีทอง) และสูตรไวท์เทนนิ่ง (หลอดสีขาว) ในขนาด 65 กรัม ราคา 59 บาท

นายโอภาส กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าการขยายฐานธุรกิจสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ใช้ง่าย เช่น วิตามินบำรุงแบบไม่ต้องล้างออก สเปรย์สระผมชนิดแห้งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในผมสวยได้ทุกเวลา  ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาดผิวหน้า ริมฝีปาก และรอบดวงตาได้ครบในขวดเดียว รวมไปถึงยาสีฟันที่มีส่วนผสมจากสมุนไพรสิวากที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน ซึ่งหลังจากเริ่มนำกลุ่มสินค้าดังกล่าวเข้าทำตลาดตั้งแต่เดือน ..นี้เป็นต้นไป บริษัทมั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี และมียอดขายเติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้

สำหรับช่องทางจำหน่ายที่ มาลี กรุ๊ป เลือกเป็นช่องทางทอดลองทำการตลาดกลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์ คือ ร้านค้าปลีกในกลุ่มความงามและเครื่องสำอาง เช่น EVEANDBOY, Beautrium, Hej Street Beauty และในอนาคตมีแผนที่จะเพิ่มช่องทางไปยังห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อชั้นนำต่างๆ 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 05 ก.ย. 2561 เวลา : 11:06:51
20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 1:51 pm