บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทไทยที่มีการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานในรูปแบบของผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งหากย้อนไปเมื่อปี 2434 หรือประมาณ 127 ปีที่ผ่านมา บริษัท โอสถสภา ดำเนินธุรกิจในนามของ "ร้านขายยาเต๊กเฮงหยู” โดยมีนายแป๊ะ โอสถานุเคราะห์ เป็นผู้ก่อตั้ง โดยการเริ่มต้นกิจการขายของเบ็ดเตล็ด ต่อมาได้เริ่มผลิตยากฤษณากลั่น ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษา โรค ปวดท้อง ท้องร่วง
หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการขายยากฤษณากลั่น ซึ่งต่อมาได้นำยากฤษณากลั่นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้ในการซ้อมรบของกิจการเสือป่าที่จังหวัดนครปฐม หลังจากนั้นประมาณปี 2475 ได้ย้ายร้านขายยาจากย่านสำเพ็ง มาที่ถนนเจริญกรุง และได้เปลี่ยนชื่อว่า “โอสถสถานเต๊กเฮงหยู" และยังได้ผลิตยาสามัญประจำบ้านอื่นๆ เช่น ยาหอมชนะลม, ยาสบาย, ผลไม้กวน, ยาธาตุ, ยาแก้ไอ, ยาอมวัน-วัน, ยาอมโบตัน และยาทัมใจ เป็นต้น
การตอบรับที่ดีจากการนำผลิตภัณฑ์ยาเข้าทำตลาด ส่งผลให้ร้านขายยาโอสถสถานเต๊กเฮงหยู เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จนกระทั่ง วันที่ 13 ตุลาคม 2502 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานครุฑตราตั้งแก่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)
ความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ทำให้บริษัท โอสถสภา ต้องมองภาพการเติบโตไปอีกร้อยปี และการที่จะเติบโตไปอีกเป็นร้อยปีอย่างแข็งแกร่งสถานะทางการเงินของบริษัทต้องมีความแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้ บริษัท โอสถาสภา จึงมีแนวคิดที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังจากดำเนินธุรกิจมา 127 ปี เพื่อเป้าหมายสู่ความยั่งยืนของบริษัท ประกอบกับทางครอบครัวต้องการให้โอสถสภาอยู่ในธุรกิจไปอีก 200 ปี ดังนั้นเพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง รองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ด้านนางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท มีความมุ่งมั่นในการรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ในฐานะเป็นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำที่มีประสิทธิภาพและมีนวัตกรรมที่ทันสมัยในประเทศไทยและตลาดต่างประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต’ (The Power to Enhance Life) ที่มุ่งมั่นพัฒนาบริษัทฯให้เป็นองค์กรที่เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้บริโภคและสังคมด้วยผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ทันสมัย
ด้วยประสบการณ์ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 127 ปี ในฐานะผู้ผลิต ทำการตลาด และผู้จัดจำหน่ายชั้นนำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในประเทศไทย และเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในเมียนมาร์และลาว รวมถึงยังเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวม 25 ประเทศ บริษัท โอสถาสภา มีแผนที่จะขยายฐานธุรกิจให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการเตรียมความพร้อมสู่ความสำเร็จในอีก 200 ปีข้างหน้า
นางวรรณิภา กล่าวต่อว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนการรุกขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่ต้องการผลักดันการเติบโตแบบก้าวกระโดด และรักษาความเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลในภูมิภาคนี้
ปัจจุบัน OSP แบ่งการดำเนินธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่มได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ประกอบด้วยเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เครื่องดื่มเกลือแร่ กาแฟพร้อมดื่มและเครื่องดื่มที่มีการเติมส่วนผสมเพื่อให้ได้คุณสมบัติเฉพาะ โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก เช่น เอ็ม-150, เอ็ม-สตอร์ม, ลิโพวิตัน-ดี, ฉลาม, ชาร์คคูลไบท์, โสมอิน-ซัม, เอ็มเกลือแร่ (M-Electrolyte), เอ็ม-เพรสโซ, และเปปทีน 2. ธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ที่ประกอบด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กภายใต้ แบรนด์ ‘เบบี้มายด์’ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้หญิงภายใต้แบรนด์ ‘ทเวลฟ์พลัส’
กลุ่มธุรกิจที่ 3 คือ บริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน ซึ่งรวมถึงการรับจ้างผลิตและ/หรือบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลประเภทให้กับกิจการร่วมค้าและบุคคลภายนอก (OEM) เช่น ซี-วิต และคาลพิส การจำหน่ายขวดแก้วตามสัญญาบริการผลิตสินค้า (OEM) และการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพให้แก่กิจการร่วมค้าของบริษัทฯ และ 4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ลูกอมภายใต้แบรนด์ โอเล่ และโบตัน
นางวรรณิภา กล่าวปิดท้ายว่า บริษัท มีจุดแข็งด้านแบรนด์ผลิตภัณฑ์ชั้นนำที่หลากหลายและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในวงกว้าง โดยปัจจุบันบริษัทถือ เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยมูลค่าตลาดค้าปลีก คิดเป็นสัดส่วน 54.4% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกของเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศสำหรับปี 2560 (จากรายงาน Frost & Sullivan) ขณะที่แบรนด์ ‘เบบี้มายด์’ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอันดับ 1 ในประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาดค้าปลีกสำหรับปี 2560 โดยไม่รวมผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็กทารก (จากรายงาน Nielsen)
ข่าวเด่น