หลังจากออกมาประกาศแผนวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2560-2564 ว่าจะพาองค์กรก้าวสู่รายได้12,000 ล้านบาท ให้ได้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มนมโคสดแท้ 100% ภายใต้แบรนด์นมไทย-เดนมาร์ค ก็ออกมาเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผ่านไปแล้ว 2 ปีธุรกิจก็ขยายตัวเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
สำหรับกลยุทธ์ที่ อ.ส.ค.ยังยึดปฏิบัตเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 ปี ยังคงเน้นไปที่แนวทางการยกระดับการบริหารจัดการองค์กร ด้วยการมุ่งปรับปรุงจุดอ่อนเพื่อพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นพร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้พันธกิจเป้าหมายที่วางไว้ ได้แก่ 1. ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมให้เป็นอาชีพแก่เกษตรกรไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน 2. พัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมนมให้ครบวงจรและมีมูลค่าเพิ่ม 3. สร้างแหล่งความรู้ด้านกิจการโคนมและอุตสาหกรรมนม 4. มุ่งบริหารจัดการองค์กรให้เป็นองค์กรที่มีขีดสมรรถนะสูง (HPO) ด้วยหลักธรรมาภิบาล
ในด้านของกลยุทธ์การทำตลาด อ.ส.ค.ยังคงเดินหน้าที่จะขยายฐานลูกค้าเพิ่มทั้งในรูปแบบการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด การขยายช่องทางการทำตลาดผ่านร้านค้าปลีก และการขยายฐานลูกค้าในตลาดต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอ.ส.ค.สามารถนำสินค้าเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศผ่านตัวแทนจำหน่ายได้ 3 ประเทศแล้ว คือ กัมพูชา ลาว และพม่า
นายณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวว่า สินค้าใหม่ที่จะเปิดตัวเข้ามาทำตลาดในปีบัญชี 2562 ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านา คือ ผลิตภัณฑ์นม “ไทย-เดนมาร์ค แลคโตส ฟรี” “เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น อ.ส.ค.จึงเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าดังกล่าวเข้ามาทำตลาด เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของผู้บริโภคในการเลือกซื้อนมพร้อมดื่มยูเอชที
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คผลิตภัณฑ์นมยู.เอช.ที. ปราศจากน้ำตาลแลคโตส ที่แตกต่างไปจากคู่แข่งในตลาด คือ มีแคลเซียมสูงผลิตจากน้ำนมโคสดแท้ 100% ที่ผ่านกระบวนการย่อยด้วยเอนไซม์แล็กเทสทำให้น้ำตาลแลคโตสเปลี่ยนรูปเป็นน้ำตาลโมเลกุลที่เล็กลงทำให้ร่างกายดูดซึมและย่อยง่ายขึ้น ดื่มง่าย สบายท้อง คงความหวานจากน้ำตาลธรรมชาติในนม ภายใต้ Key Message “นมดีไม่แพ้ ของแท้ไม่ผสม”
ส่วนช่องทางการทำตลาดของผลิตภัณฑ์นมดังกล่าว อ.ส.ค. ได้วางไว้ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น , ร้านนมสดไทย-เดนมาร์ค สาขาทีโอที ,ตลาด อตก. , ร้านค้าฟาร์มท่องเที่ยวไทย-เดนมาร์ค อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี , ร้านไทย-เดนมาร์ค มิลค์แลนด์, ตัวแทนจำหน่าย อ.ส.ค. และ TOPS Supermarket ซึ่งหลังจากนำสินค้าดังกล่าวเข้าทำตลาด อ.ส.ค.มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย
นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของช่องทางการทำตลาดนอกจากจะผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจในการนำสินค้าไปวางจำหน่ายแล้ว อ.ส.ค.ยังได้พัฒนาร้านค้าปลีกของตัวเองขึ้นมา เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจจำนวน 2 รูปแบบ คือ ร้านไทย-เดนมาร์คมิลค์ แลนด์ เน้นเปิดให้บริการภายในห้างค้าปลีก ปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ประมาณ 5 สาขา และในปี 2562 นี้มีแผนที่จะเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40-50 สาขา
ร้านค้าปลีกอีกหนึ่งแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในสถาบันการศึกษาต่างๆ คือ ร้านไทย-เดนมาร์ค มิลค์ช็อป ปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ 13-14 สาขา ในปี 2562 มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 40-50 สาขา ซึ่งในส่วนของร้านไทย-เดนมาร์คมิลค์ช้อป บริษัทจะทำการขยายสาขาผ่านตัวแทนจำหน่ายนมไทย-เดนมาร์ค ดังนั้น รูปแบบของร้านไทย-เดนมาร์คมิลค์ช้อป จึงจะมีความแตกต่างกันไปทั้งในด้านของขนาดพื้นที่และรูปแบบการตกต่างร้าน
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ อ.ส.ค.จะให้ความสำคัญ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายปี 2564 คือ การส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว และพม่าบ้างแล้ว ดังนั้นในปี 2562 ที่จะถึงนี้ อ.ส.ค.จึงมีแผผนที่จะต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการเข้าไปขยายฐานลูกค้าในประเทศดังกล่าวเพิ่มเติม โดยการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในประเทศนั้นๆ
นอกจาก 3 ประเทศที่ อ.ส.ค.จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการทำตลาดแล้ว ในส่วนของประเทศมาเลเซีย และจีน ก็มีแผนที่จะส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดเช่นกัน โดยในส่วนของตลาดมาเลเซีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเอกสาร และตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพการผลิตสินค้า คาดว่าภายในปี 2562 น่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มเข้าไปทำตลาดได้
เช่นเดียวกับประเทศจีน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาด และเตรียมความพร้อมในด้านของสินค้า บุคลากร ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าภายในปี 2562 น่าจะเริ่มนำนมพร้อมดื่มไทย-เดนมาร์คเข้าไปทำตลาดได้ และหาก อ.ส.ค.สามารถนำสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศจีนได้จริง ณรงค์ฤทธิ์ คาดว่าภาพรวมรายได้ของ อ.ส.ค.จะมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี เพื่อเตรียมความพร้อมกับการขยายช่องทางการทำตลาดในอนาคต อ.ส.ค. จึงต้องเตรียมความพร้อมในด้านของกำลังการผลิต ด้วยการปรับปรุงโรงงานในจังหัดเชียงใหม่ เพื่อทำการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ และนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม ซึ่งหลังจากการปรับปรุงโรงงานแล้วเสร็จในเดือน ก.พ.2562 อ.ส.ค.คาดว่าโรงงานแห่งดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตนมพร้อมอื่มอยู่ที่ประมาณ 30-40 ตันต่อวัน
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะใช้งบอีกประมาณ 800 ล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่บนที่ดิน 100 ไร่ ในจังหวัดลำปาง เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ อ.ส.ค.เลือกจังหวัดลำปางเป็นฐานการผลิตนมที่สำคัญแห่งใหม่ เพราะจังหวัดลำปางเป็นแหล่งผลิตน้ำนมดิบขนาดใหญ่ของประเทศไทย อย่างไรก็ดี โรงงานแห่งดังกล่าวคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในอีก2-3 ปีนับจากนี้
ปัจจุบัน อ.ส.ค.มีโรงงานที่ผลิตน้ำนมทั่วประเทศอยู่จำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย ประจวบคีรีขันธ์ สุโขทัย สระบุรี เชียงใหม่ และขอนแก่น โดยในแต่ละวันโรงงานทั้ง 5 แห่งมีการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรอยู่ที่ประมาณ 700 ตันต่อวัน หรือคิดเป็น 20-25% ของปริมาณน้ำนมดิบที่มีอยู่ประมาณ 3,300 ตันต่อวัน
จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว อ.ส.ค.คาดว่าจบปีงบประมาณ 2562 ในเดือน ก.ย.2562 น่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2561 ที่ปิดไปประมาณ 9,500 ล้านบาท ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ณรงค์ฤทธิ์ มั่นใจว่าจบปีงบประมาณ 2564 จะมีรายได้อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ตรงตามแผนงานที่วางไว้อย่างแน่นอน แต่หากมีปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจมีฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ชะลอตัวก็คงต้องมาลุ้นกันอีกที
ข่าวเด่น