การตลาด
สกู๊ป ร้านกาแฟอันดับ 1ไต้หวัน"หลุยซ่า"ปักธงสู้ศึกตลาดไทย


หลุยซ่า คอฟฟี่ ร้านกาแฟอันดับ1จากไต้หวันเปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นประเทศแรกนอกไต้หวัน


 
 
 
 
 
แม้ว่าตลาดร้านกาแฟในประเทศไทยจะมีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงแต่ผู้ประกอบการร้านกาแฟอันดับ1จากไต้หวันก็ยังคงเห็นโอกาสในการเข้ามาทำตลาดร้านกาแฟในประเทศไทยด้วยการจับมือร่วมกับนายวงศ์พันธุ์ เหล่าธรรมทัศน์ ก่อตั้งบริษัท หลุยซ่า คอฟฟี่ ประเทศไทย จำกัดภายใต้ทุนจดทะเบียน10ล้านบาท เพื่อนำร้านกาแฟหลุยซ่าเข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นประเทศแรกนอกไต้หวัน

สำหรับสาขาแรกที่ยักษ์ใหญ่ร้านกาแฟไต้หวันเลือกทำเลเปิดให้บริการเป็นสาขาแรก คือ อัมรินทร์ พลาว่า เนื่องจากเป็นสถานที่ตั้งในกลางกรุงเทพฯและมีพนักงานออฟฟิศรวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากจึงเลือกทำเลนี้เป็นสาขาแรกในการทดลองตลาด
 
 

 
 
 
นายคริส ฮวง ประธาน บริษัท หลุยซ่า คอฟฟี่ คอร์ปอเรท (ประเทศไต้หวัน) จำกัดผู้ก่อตั้งร้านกาแฟหลุยซ่ากล่าวว่าการที่บริษัทเลือกไทยเป็นประเทศแรกในการขยายร้านกาแฟหลุยซ่า คอฟฟี่ นอกไต้หวันเพราะตลาดกาแฟในประเทศไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ประกอบกับไลฟ์สไตล์และวัฒนธรรมในการดื่มกาแฟของคนไทยเปลี่ยนไปคือหันมาบริโภคกาแฟที่มีคุณภาพมากขึ้น บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาทำตลาดร้านกาแฟในประเทศไทย ซึ่งจากการขยายตัวที่ดีของตลาดกาแฟไทย ส่งผลให้มีผู้ประกอบการแบรนด์ร้านกาแฟทั้งไทยและต่างชาติก้าวเข้าสู่ตลาดร้านกาแฟไม่ขาดสาย

จากข้อมูลของศูนย์อัจฉริยะ เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร ออกมาระบุว่าภาพรวมตลาดร้านกาแฟในประเทศไทยในปี2560ที่ผ่านมามีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ21,220 ล้านบาท ปี 2561 มีมูลค่าเพิ่มเป็น23,470 ล้านบาท และปี2562 นี้คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 25,860 ล้านบาท

นอกจากนี้จากข้อมูลของสมาคมกาแฟไทย/สมาพันธ์กาแฟอาเซียน ยังระบุอีกว่าปัจจุบันตลาดร้านกาแฟในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดร้านกาแฟทั่วไป9,000 ล้านบาทและตลาดร้านกาแฟพรีเมียม8,000 ล้านบาท ซึ่งจากการขยายตัวของตลาดร้านกาแฟในประเทศไทย ทำให้ปัจจุบันคนไทยมีการบริโภคกาแฟในอัตราเฉลี่ยที่ประมาณ 0.5-1.0 กิโลกรัม/คน/ปี ขณะที่สหรัฐอเมริกามีการบริโภคอยู่ที่ 3.5 กิโลกรัม/คน/ปี สแกนดิเนเวีย มีอัตราการบริโภคอยู่ที่ 10 กิโลกรัม/คน/ปี และคาดการณ์ว่าในระยะเวลา5ปี(2561-2565) การบริโภคจะเพิ่มขึ้น3เท่าตัวหรือมีการบริโภคอยู่ที่กว่า 300,000 ตัน/ปี

นายคริส กล่าวอีกว่าการขยายธุรกิจในต่างประเทศบริษัทจะเน้นแบบค่อยเป็นค่อยไป หลังจากมีความพร้อม มีความมั่นใจในศักยภาพ จึงจะเดินหน้าขยายสาขา เนื่องจากบริษัทต้องการรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้า ซึ่งร้านหลุยซ่า คอฟฟี่ในประเทศไต้หวันก็ใช้เวลาถึง4 ปี จึงจะขยายสาขาได้50แห่งทั่วประเทศ

พร้อมกันนี้นายคริส ยังได้ใช้หลักการพิจารณาก่อนขยายสาขา ดังนี้ 1. มีข้อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนในตลาดต่างประเทศ ศึกษาข้อมูลผู้บริโภค ศึกษาตลาดพฤติกรรมผู้บริโภค 2. สร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของสินค้า (สินค้าเกรดพรี่เมี่ยมแต่ราคาจับต้องได้) 3. มองเวลาที่เหมาะสมกับจังหวะ (ประเทศไทยมีศักยภาพถึงแม้ตลาดกาแฟมีการแข่งขันสูงแต่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง) และ 4.สร้างมาตรฐานและคุณภาพเดียวกัน (รสชาติและกรรมวิธีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ)

ด้านนายวงศ์พันธุ์ เหล่าธรรมทัศน์ กรรมการ บริษัท หลุยซ่า คอฟฟี่ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่าในส่วนของแผนการขยายสาขาร้านกาแฟหลุยซ่า คอฟฟี่ ในประเทศไทยนั้นหลังจากเปิดให้บริการสาขาแรกที่อัมรินทร์ พลาซ่า สาขาต่อไปที่จะเปิดให้บริการในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้ คือ เอ็กเชนจ์ ทาวเวอร์ สาขานี้คาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ40-50 ตร.ม.ใช้งบลงทุนประมาณ3-4 ล้านบาท ซึ่งจากโอกาสในการขยายธุรกิจในไทยที่ยังมีอีกมากเบื้องต้นบริษัทคาดการณ์ว่าภายใน3ปีนับจากนี้ จากมีจำนวนสาขาร้านกาแฟหลุยซ่าไม่ต่ำกว่า5สาขาอย่างแน่นอน ขณะที่ร้านกาแฟหลุยซ่า คอฟฟี่ ที่ไต้หวันสิ้นปี 2562 นี้คาดว่าจะมีจำนวนสาขาอยู่ที่ประมาณ 500 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 450 สาขา

 
 
 
 
 
ปัจจุบันร้านกาแฟหลุยซ่ามีรูปแบบร้านที่เปิดให้บริการด้วยกัน 4 รูปแบบ ประกอบด้วย ร้านขนาดใหญ่ในรูปแบบสแตนอโลน ใช้พื้นที่ประมาณ 500 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 8-10 ล้านบาท ร้านขนาดใหญ่ที่เปิดให้ห้างค้าปลีกจะใช้พื้นที่ประมาณ 130 ตร.ม. ลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท ร้านขนาดกลาง และขนาดเล็กในรูปแบบคิออสใช้พื้นที่ประมาณ 20-30 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ2ล้านบาท

นายวงศ์พันธุ์ กล่าวต่อว่ากลยุทธ์ในการทำตลาดสาขาแรกของแบรนด์หลุยซ่า คอฟฟี่ บริษัทจะใช้จุดแข็งคือวัตถุดิบคัดสรรจากแหล่งท้องถิ่นเป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด เนื่องจากประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก โดยกลุ่มเป้าหมายหลักที่บริษัทต้องการเข้าไปทำตลาด คือ นักเรียน นักศึกษา อายุ 20-25 ปี และกลุ่มอาชีพอิสระ อายุ 26-30 ปี นิยมพบปะสังสรรค์ที่ร้านกาแฟ โดยมาใช้บริการเพื่อดื่มกาแฟ นัดพบพูดคุยธุรกิจ หรือใช้อินเตอร์เน็ต โดยพบว่าจะดื่มกาแฟ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

นอกจากนี้ยังจะชูจุดเด่นในด้านของบริการและการมีเครื่องดื่มร้อนเย็นที่หลากหลายกว่า40เมนู ในราคาเริ่มต้นที่ 50- 70 บาท ซึ่งหากนำมาเทียบกับตลาดร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยมในศูนย์การค้าแล้วถือว่าราคาต่ำกว่าคู่แข่ง10-20%ในบางเมนู และจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว หลุยซ่า คอฟฟี่ มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างแน่นอน ซึ่งหลังจากขยายตลาดในประเทศไทยไประยะหนึ่งก็มีแผนที่จะไปเปิดตลาดในประเทศเพื่อนบ้านของไทยควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์

นายวงศ์พันธุ์ กล่าวปิดท้ายว่าการวางแผนขยายสาขาร้านหลุยซ่า คอฟฟี่ในกรุงเทพฯจะเน้นแบบค่อยเป็นค่อยไปทำแต่ละสาขาให้ดีที่สุดเพราะบริษัทต้องการคงคุณภาพตามที่ Louisa Coffee Original เคยทำไว้

LastUpdate 09/03/2562 22:22:04 โดย : Admin
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 6:06 pm