เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
PwC คาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแตะ 29.6 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 68


PwCเผยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งของโลก หลังสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(เอยูเอ็ม)เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2568เอยูเอ็มของทั้งภูมิภาคจะอยู่ที่ 29.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งและกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูง  


นายบุญเลิศ กมลชนกกุล หัวหน้าสายงาน Clients and Marketsและหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชีด้านธุรกิจบริการทางการเงิน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวถึงรายงานAsset and Wealth Management 2025: The Asia AwakeningของPwC ว่า อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเติบโตรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ หากการกีดกันทางการค้าอยู่ในวงจำกัดและปัจจัยภูมิศาสตร์การเมืองในภูมิภาคเดินหน้า โดยคาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในภูมิภาคนี้จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ที่ 8.7% หรือเพิ่มจาก 15.1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2560 เป็น 16.9 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2563 และแตะ 29.6 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 

นอกจากนี้คาดว่าเอยูเอ็มของกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป(รวมสินทรัพย์ของกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ หรือ อีทีเอฟ)จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวมาอยู่ที่ 11.9 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดว่าการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันจะเติบโตในระดับเดียวกัน สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียอยู่ในเวลานี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างมากจาก2ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2561 เป็น6.9ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 (คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 11.7%) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน

ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งและกลุ่มบุคคลที่มีสินทรัพย์สูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ผู้จัดการสินทรัพย์ สามารถขยายธุรกิจ และสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งโดยรวม เติบโตแซงหน้าภูมิภาคที่พัฒนาแล้วอย่าง ยุโรปและอเมริกาเหนือ

รายงานยังชี้ว่าความต้องการของนักลงทุนในภูมิภาคได้เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมการลงทุนและผลตอบแทนที่พวกเขาคาดหวัง โดยกลยุทธ์เชิงรับ(Passive Strategy)กำลังเป็นที่นิยมมากกว่ากลยุทธ์เชิงรุก (Active Strategy) ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า จึงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนจำนวนมาก โดยกลยุทธ์ดังกล่าว เป็นที่นิยมอย่างมากในภูมิภาคที่พัฒนาแล้วอย่าง ยุโรปและสหรัฐอเมริกาและกลุ่มนักลงทุนสถาบันในเอเชีย

นาย จัสติน อ่อง หัวหน้าสายงานบริหารสินทรัพย์และความมั่งคั่งประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก PwCประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า “นักลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นตัวและมีกลยุทธ์มุ่งเน้นไปที่ผลตอบแทนมากกว่าอย่างอื่น โดยเตรียมรับมือกับความเสี่ยง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่คาดหวัง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์การลงทุนหรือการจัดพอร์ตการลงทุนเชิงรับ จึงอาจจะไม่ใช่สิ่งแรกที่พวกเขามองหา”

“อย่างไรก็ดีการเข้ามาของหุ่นยนต์ที่ปรึกษาและคำแนะนำการลงทุนที่เปลี่ยนเป็นดิจิทัลมากขึ้นจะมีบทบาทสำคัญในการปูทางไปสู่การเติบโตของการบริหารพอร์ตการลงทุนเชิงรับของภูมิภาคนี้ โดยจะทำให้เกิดช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆที่ปราศจากคนกลาง นอกจากนี้ยังจะได้รับปัจจัยหนุนจากการปฏิรูประบบบำนาญในประเทศต่างๆ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีนที่เปิดโอกาสให้นำเงินกองทุนบำนาญไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเท่ากับผลตอบแทนของดัชนีตลาดหรือที่เรียกว่าPassive asset และน่าจะช่วยผลักดันให้สัดส่วนเอยูเอ็มของสินทรัพย์นี้ในภูมิภาคเพิ่มจาก12%ในปี 2560 เป็น17%ในปี 2568ได้” 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 14 มี.ค. 2562 เวลา : 12:16:14
24-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 6:04 am