หากเป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ต้องขอตอกย้ำกันบ่อยๆ โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางด้านภาษีของกลุ่ม“ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ”เนื่องจากผู้ประกอบอาชีพอิสระนั้นมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเฉพาะตัว หรือรับสิทธิประโยชน์ภาษีที่แตกต่างจาก มนุษย์เงินเดือน อาชีพฟรีแลนซ์และอีกหลายๆอาชีพ เพราะสามารถหักค่าใช้จ่ายของวิชาชีพได้จำนวนมาก
โดยคุณควรเริ่มวางแผนทางการเงินให้กับตัวคุณเองตั้งแต่ต้นปี ซึ่งคุณจะสามารถรู้ได้ว่าคุณต้องจ่ายภาษีจำนวนเท่าไหร่และมีวิธีการไหนบ้างที่จะช่วยคุณประหยัดภาษีได้
ดังนั้นเรามารู้ความหมายกันก่อนว่า ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระโดยความหมายแล้วคือใคร คนกลุ่มอาชีพนี้จะเป็นบุคคลที่ทำอาชีพอิสระ โดยไม่ขึ้นอยู่กับนายจ้างคล้ายกับคนทำฟรีแลนซ์ แต่จะต้องเป็นอาชีพที่ต้องได้รับใบประกอบวิชาชีพเฉพาะทางและถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย ได้แก่ แพทย์และพยาบาลประกอบโรคศิลปะ ทนายความและนักกฎหมาย นักบัญชี สถาปนิก วิศวกร นักประณีตและศิลปกรรม หรือวิชาชีพอิสระอื่นๆตามมาตรา 40(6)แห่งประมวลรัษฎากร
นอกจากนี้มาดูต่อว่าหากคุณเป็นคนทำอาชีพเหล่านี้ มิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯแนะว่า “3แนวทางวางแผนภาษี ที่อาชีพอิสระต้องรู้”เพื่อช่วยวางแผนภาษีให้ลงตัวและคุณจะได้ประโยชน์สูงสุด
แนวทางแรก คุณต้องเข้าใจประเภทรายได้ของตัวคุณเองก่อนโดยหากคุณทำงานในวิชาชีพที่กำหนดไว้ โดยไม่ได้เป็นลูกจ้างของบริษัทที่ได้รับเงินเดือนแต่เป็นการประกอบวิชาชีพเพียงลำพังหรือเป็นการจ้างเป็นงานๆและมีอิสระในการทำงาน
เงินได้ของอาชีพนี้จะเป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรา 40 (6) ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ แบบเหมารวม หรือ หักตามจริงแบบมีใบเสร็จ
ประกอบด้วย ผู้ประกอบการอาชีพดังนี้....
การประกอบโรคศิลปะหรือแพทย์ คุณสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60%หรือหักตามจริง
ส่วนคุณประกอบอาชีพ ทนายความ วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี นักประณีต คุณสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้30% หรือหักตามจริง
ทั้งนี้รายได้ทั้งหมดจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 3%และถูกนำไปคำนวณเงินได้เพื่อคิดภาษี เช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ
ลองมาดูตัวอย่างไปพร้อมๆกัน ถ้านาย A อาชีพทนาย มีเงินได้ 1,000,000 บาท สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 30% คือ 300,000 บาท โดยถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 30,000 บาท หากไม่มีการลดหย่อนอะไรเพิ่มเติม จะต้องชำระภาษีจำนวน 18,500 บาท
แนวทางที่ 2.คุณต้องจดบันทึกข้อมูลรายได้-ค่าใช้จ่ายให้ครบถ้วน เนื่องจากผู้ประกอบอาชีพอิสระ มีการรับรายได้ไม่สม่ำเสมอ คล้ายคลึงกับคนทำอาชีพฟรีแลนซ์ จึงต้องจดบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด พร้อมเก็บเอกสารหลักฐานทางการเงินทั้งรายได้และค่าใช้จ่าย เพื่อใช้ตรวจสอบสถานะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการประกอบอาชีพ
หากพบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสูงกว่า30%ของรายได้ ก็ควรพิจารณาทางเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง แทนหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา
และแนวทางที่ 3.คำนวณสถานะเงินได้สุทธิเป็นประจำ ทั้งนี้เพื่อวางแผนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ต้องอย่าลืมว่า ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระก็สามารถใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้เหมือนกับอาชีพอื่นๆ ทั้งในส่วนของการลดหย่อนพื้นฐานและการลดหย่อน ด้วยการออมและลงทุนด้วยการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือประกันชีวิตที่มีความคุ้มครอง10 ปีขึ้นไปก็ได้
โดยคำนวณวงเงินสูงสุดในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทตามฐานเงินได้ของคุณจากนั้นก็ทยอยลงทุน ตามแผนเพื่อประหยัดภาษีและสร้างความมั่งคั่งในยามเกษียณ
ดังนั้นมิสเตอร์ตลาดหลักทรัพย์ฯขอย้ำว่าคุณอย่าลืมวางแผน“เปลี่ยนภาษีเป็นเงินออมและลงทุน”อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตในระยะยาว
ข่าวเด่น