เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
TMB แนะเตรียมรับความเสี่ยงจากการตอบโต้ของจีน


TMB Analytics ชี้จีนมีทางเลือกหลากหลายในการตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ทั้งมาตรการตอบโต้โดยตรงอย่างการขึ้นภาษีนำเข้าไปจนถึงผ่านตลาดเงินโดยการลดค่าเงินหยวนหรือลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงมาตรการอื่นๆอย่างการรณรงค์งดใช้สินค้าจากสหรัฐฯซึ่งหากจีนจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้มาตรการเหล่านี้ เศรษฐกิจรวมถึงตลาดการเงินของโลกและไทยก็จะโดนผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 
สำหรับสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นรอบล่าสุด สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้าเพิ่มเติมอีกจากสินค้ามูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สินค้าที่รัฐบาลจีนจะขึ้นภาษีเพื่อตอบโต้มีมูลค่าเพียง 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากโดยรวมแล้วสินค้าที่จีนส่งออกไปสหรัฐมีมูลค่าถึง 4.5 เท่าของสินค้าที่สหรัฐฯส่งออกมาจีนดังนั้นการเอาคืนสหรัฐฯผ่านมาตรการภาษีจีนอาจได้ไม่คุ้มเสีย

เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นธนาคารกลางจีนอาจแทรกแซงค่าเงินหยวนให้อ่อนลงเพื่อชดเชยราคาสินค้าจีนที่แพงขึ้นจากการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเรื่องการส่งออกแต่ก็อาจมีผลกระทบที่รุนแรงตามมา อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2015 ที่หลังจากธนาคารกลางจีนทำการลดค่าเงินหยวนต่อเนื่องสามวันติดรวม 4.4% ก็ทำให้เดือนนี้เป็นเดือนที่แย่ที่สุดในรอบหลายรอบปีของตลาดการเงินทั้งหลาย โดยเฉพาะตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีน รวมถึงตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนในภูมิภาค

อีกด้านหนึ่งจีนอาจเลือกใช้เครื่องมือในตลาดพันธบัตรเพื่อตอบโต้สหรัฐฯได้ด้วยเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าจีนเป็นเจ้าหนี้ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่ากว่า 1.12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นหากจีนลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงอาจมีผลให้ต้นทุนการกู้ยืมในสหรัฐฯ ที่สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหรือบอนด์ยีลด์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการศึกษาของธนาคาร UBS พบว่า หากจีนเพียงแค่ค่อยๆลดการถือครองพันธบัตรลงเรื่อยๆตามแนวโน้มปัจจุบัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะสูงขึ้นประมาณ 0.4% หรือ 40 basis point อย่างไรก็ดีการลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐในปริมาณมากอาจกดดันให้เงินหยวนแข็งค่ารุนแรง ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ส่งออกจีนได้และไม่ง่ายที่จีนจะหาสินทรัพย์ทดแทนที่มีความเสี่ยงต่ำและสภาพคล่องสูงใกล้เคียงกันกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

นอกจากนี้ยังมีวิธีการโต้กลับอื่นๆอีก เช่นการกีดกันบริษัทจากสหรัฐในการทำธุรกิจในจีน โดยการชะลอการดำเนินการศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ การชะลอหรือปฏิเสธกระบวนการขอวีซ่าของนักธุรกิจชาวสหรัฐฯ หรือทำให้กระบวนการทางกฎหมายล่าช้าลง แต่ข้อเสียคือการทำแบบนี้จะเป็นการลดความน่าเชื่อถือในการดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศในอนาคต

มากไปกว่านั้นทางด้านสงครามเย็นด้านเทคโนโลยี(Tech Cold War)การเอาคืนที่สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ Huawei ว่ามีภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศอาจรวมถึงการรณรงค์งดใช้ผลิตภัณฑ์ของ Appleที่เริ่มเป็นกระแสในสังคมออนไลน์บ้างแล้ว ซึ่งอาจทำให้กำไรของApple ลดลงประมาณ 30%จากการวิเคราะห์ของ Goldman Sachs แต่ก็น่าคิดว่าจากการที่จำนวนโรงงานผลิตสินค้าและชิ้นส่วนของ Apple เกือบครึ่งหนึ่งตั้งอยู่ในจีนนั้น บริษัทจีนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานก็จะถูกผลกระทบไปด้วย มิหนำซ้ำจีนอาจโต้ตอบสหรัฐฯได้โดยการจำกัดหรืองดการส่งออกแร่ Rare Earthที่จีนเป็นผู้ผลิตหลักของโลก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงในสหรัฐฯในหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ พลังงาน เป็นต้น โดยปัจจุบันการนำเข้าแร่ Rare Earth ประมาณ 80% ของสหรัฐฯมาจากจีน

จากการที่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีนกลับมาตึงเครียดอีกครั้งและยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ข้อตกลงเร็วๆนี้ อาจกระตุ้นให้จีนต้องเลือกใช้อาวุธที่มีอยู่ในมือซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปแต่ไม่ว่าจีนจะเลือกใช้วิธีใด ความกดดันต่อการค้าโลกรวมถึงความผันผวนในตลาดเงินไทยและตลาดเงินโลกก็คงเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ผู้ประกอบการรวมถึงนักลงทุนจึงควรเตรียมรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 29 พ.ค. 2562 เวลา : 18:16:33
25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 9:09 pm