ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องสำหรับแบรนด์สินค้าความงามอย่าง “ลอรีอัล” เนื่องจากปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ ประกอบกับมูลค่าตลาดความงามในประเทศไทยมีมูลค่ามหาศาล จึงทำให้ผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจที่จะกระโดดเข้ามาทำธุรกิจนี้ เห็นได้จากสินค้าแบรนด์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นในท้องตลาดจนผู้บริโภคเองเลือกไม่ถูกว่า ขณะที่แบรนด์ใหม่กำลังเปิดเส้นทางธุรกิจในส่วนของผู้ประกอบการรายเดิมที่อยู่ในท้องตลาดก็ต้องออกมาป้องกันแชร์ที่รายใหม่จะมาช่วงชิงไป สังเกตได้จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาทำตลาดหรือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เพื่อดึงเม็ดเงินในกระเป๋าของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
จากการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว ส่งผลให้มูลค่าตลาดความงามของประเทศไทยในปี 2561ที่ผ่านมาพุ่งสูงถึง 1.92 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2560 ที่ประมาณ 7.3% แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (skincare) 45% ผลิตภัณฑ์ผม (hair) 16% เครื่องสำอาง (makeup)13% ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย (hygiene) 9% และน้ำหอม (fragrance) 4%
ในกลุ่มสินค้าดังกล่าวตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (skincare) ถือเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยในปี2561ที่ผ่านมาตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีอัตราการเติบโตสูงถึง 7.9% หรือมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 8.65 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า 82% ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย 12% และผลิตภัณฑ์กันแดด 6%
การขยายตัวที่ดีดังกล่าวทำให้ ลอรีอัล ประเทศไทย ต้องออกมาประกาศกลยุทธ์เชิงรุกตั้งแต่ต้นปี เพื่อป้องกันส่วนแบ่งการตลาดและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในเวลาเดียวกัน ซึ่งแนวทางดังกล่าวถือเป็นการเดินตามกลยุทธ์ของบริษัทแม่ที่ต้องการให้ ลอรีอัล กรุ๊ป มีธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งหากดูผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกปี2562ที่ผ่านมา ลอรีอัล กรุ๊ป ถือว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจค่อนข้างสูงเห็นได้จากอัตราการเติบโตของรายได้รวมที่สูงถึง 7.3% นับเป็นการเติบโตครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงกว่า 10 ปี โดยในครึ่งปี 2561ที่ผ่านมา ลอรีอัล มียอดขายรวมอยู่ที่13,390.7 ล้านยูโร หรือประมาณ 455,260 ล้านบาท ขณะที่ยอดรวมครึ่งแรกปี 2562 มีรายได้อยู่ที่ 14,811.5 ล้านยูโร หรือประมาณ 503,517 ล้านบาท
นายฌอง-พอล แอกง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่าทุกแผนกมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงและแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่มีอัตราการเติบโตตัวเลขสองหลัก การเติบโตของผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงขับเคลื่อนโดย 4 แบรนด์ใหญ่ 4 ได้แก่ ลังโคม, อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์, จิออร์จิโอ อาร์มานี่ และคีลส์
ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางยังคงได้รับอานิสงส์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคในรูปแบบความงามแบบสุขภาพดีและมีการเติบโตที่สมดุลทุกภูมิภาค ในส่วนแผนกผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคนั้น ผลประกอบการมีการพัฒนาดีขึ้นในแต่ละไตรมาส ด้วยการผลักดันจากความสำเร็จของลอรีอัล ปารีส ซึ่งเป็นแบรนด์ความงามอันดับหนึ่งของโลก
นายฌอง-พอล กล่าวต่อว่า ตลาดใหม่ (new markets) ถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะโซนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งปัจจุบันได้ขยับขึ้นมาเป็นโซนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของบริษัท ประเทศจีนยังคงระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนามต่างก็เติบโตด้วยตัวเลขสองหลัก ในโซนอเมริกาเหนือมีการชะลอตัวในตลาดเมคอัพ ส่วนในยุโรปตะวันตกยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้นในขณะที่ภาพรวมตลาดมีความซบเซา เนื่องจากเทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตและช่วยความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับผู้บริโภคให้แน่นแฟ้นขึ้น ในส่วนการเติบโตช่องทางอีคอมเมิร์ซนั้นมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 48.5% โดยมีสัดส่วนเป็น 13.2% ของยอดขายทั้งหมด ช่องทางธุรกิจค้าปลีกท่องเที่ยวนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต โดยการเติบโตขึ้น 21.2%
นอกจากนี้หากมองในด้านของตัวเลขผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 12.1% สร้างสถิติใหม่ในอัตรากำไรสุทธิที่ 19.5% เนื่องจากแต่ละแผนกมีผลประกอบการที่ดี เช่น แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ มีอัตราการเติบโตที่ 2.5%หลังได้รับแรงหนุนจากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ในด้านของแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคก็มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3.1% ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป จะให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบรนด์สินค้าต่างๆ ดังนี้ 1.ลอรีอัล ปารีส ยังเป็นแบรนด์ที่คงการเติบโตที่ดี ผลักดันโดยผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิวหน้า 2. การ์นิเย่ เติบโตจากผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิว จากไมเซล่า คลีนซิ่ง วอเตอร์ และ 3.แผ่นมาสก์หน้า ที่เติบโตไปทั่วโลก โดยภูมิภาคที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างชัดเจนคือโซนเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย
ขณะเดียวกันกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงก็มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่ที่ประมาณ 13.2% ซึ่ง 4 แบรนด์ที่จะให้ความสำคัญนับจากนี้คือ ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Génifique และ Absolue ที่เป็นผลิตภัณฑ์เด่นของแบรนด์ลังโคมและจากผลิตภัณฑ์กลุ่ม Ultra Facial และ Calendula จากแบรนด์คีลส์ ในส่วนแบรนด์ จิออร์จิโอ อาร์มานี่ และ อีฟส์ แซ็งต์ โลร็องต์ ประสบความความสำเร็จในผลิตภัณฑ์กลุ่มลิปสติก ได้แก่ Lip Maestro และ Rouge Pur Couture The Slim และกลุ่มน้ำหอม Sì และ Black Opium ภูมิภาคที่เติบโตแข็งแกร่งที่สุดคือเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในประเทศจีน และในช่องทางค้าปลีกท่องเที่ยว
สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางก็มีอัตราการเติบโตดีอยู่ที่ 13.6% เนื่องจากโซนเอเชียแปซิฟิก อเมริกาเหนือ และละตินอเมริกา มีผลประกอบการดีและทุกแบรนด์หลักล้วนมีส่วนช่วยในการเติบโต โดยแบรนด์ลา โรช-โพเซย์ เติบโตด้วยตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่องและเดินหน้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย ด้วยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ Hyalu B5 แบรนด์วิชี่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ติดดาวอย่าง Minéral 89 ส่วนแบรนด์เซราวี สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในทุกๆภูมิภาค
ทั้งนี้จากการขยายตัวที่ดีในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกที่ผลประกอบการในทุกแผนกเติบโตสูงเป็นตัวเลข 2 หลัก ทำให้ ลอรีอัล กรุ๊ป ออกมาประกาศเดินหน้ารุกทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวระดับพรีเมียมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเปิดตัว 3CE สไตล์นันดะ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละประเทศให้สูงขึ้น เช่นเดียวกับประเทศไทยแต่จะขยับขึ้นมาได้กี่เปอร์เซ็นต์นั้นคงต้องรอวัดผลกันอีกครั้งในช่วงสิ้นปี 2562
ข่าวเด่น