การตลาด
สกู๊ป "อินเด็กซ์"ปรับแผนสู้ตลาดอีเวนต์ทรุด ชู Own-Project บุกต่างแดนทดแทน


ยังคงอยู่ในแดนลบต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาสำหรับภาพรวมตลาดอีเวนต์ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอีเวนต์ในสิ้นปี 2562 นี้คาดว่าจะติดลบอีกไม่ต่ำกว่า 4% จากปี 2561 ที่ภาพรวมตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่หายไปประมาณ 1,144-1,200 ล้านบาท


จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้คาดการณ์กันว่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปี 2563 ให้มีการขยายตัวลดลงอีกไม่ต่ำกว่า 5% ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ในประเทศไทยนับจากนี้จะมีขนาดเล็กลงและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และหันมาระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งเหตุผลดังกล่าวส่งผลให้ผู้บริโภคจะเลือกเข้าร่วมอีเวนต์ที่คุ้มค่าเงิน

 
 
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เทรนด์อีเวนต์ในช่วง 10 ปีนับจากนี้ไปจะมีขนาดเล็กลง และมีความเฉพาะตัวมากขึ้น ซึ่งสิ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการในธุรกิจต้องมีในปี 2563 นี้ คือ NUL โดยในส่วนของ N นั้นคือ Niche กลุ่มตลาดที่เฉพาะและตรงเป้าหมาย 2. Unique คือ การทำการตลาดที่ไม่เหมือนใคร และ 3. Limited คือ จำนวนจำกัดและหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งเป็นการตลาดที่กระตุ้นให้คนเลือกจ่ายเงิน เพื่อแลกประสบการณ์ที่พลาดไม่ได้โดยไม่เสียดายเงิน

สำหรับแผนการทำตลาดของ อินเด็กซ์ ในปี 2563 ที่จะถึงนี้ จะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในรูปแบบของ Own-Project หรือโครงการที่พัฒนาขึ้นมาเอง โดยจะเน้นไปที่ความสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความสดใหม่ให้กับธุรกิจอีเวนต์ในประเทศที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง โดยตลาดที่สนใจจะเข้าไปทำตลาดงานอีเวนต์เป็นพิเศษในปี 2563 คือ เอเชีย และตะวันออกกลาง เนื่องจากตลาดดังกล่าวยังมีช่องว่างให้เข้าไปขยายธุรกิจได้อีกมาก
 

 
 
นอกจากนี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการต่อยอดงานอีเวนต์ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้มีความครบวงจรมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ อินเด็กซ์ ได้เคยต่อยอดธุรกิจอีเวนต์ในประเทศและต่างประเทศจนประสบความสำเร็จมากแล้วจากการจัดงาน KILORUN และในปี 2563 อินเด็กซ์ ก็จะทำการต่อยอดงานอีเวนต์ดังกล่าวอีครั้ง ด้วยการจัดงาน KILORUN 2020 ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพื่อเพิ่มรายได้ให้กลุ่มธุรกิจ Own-Project

อีกหนึ่งงานใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2563 นี้ คือ Qutar the Glory Operetta งานนี้ทาง อินเด็กซ์ ได้มีการใช้งบลงทุนไปประมาณ 150 ล้านบาท ในการพัฒนางาน นอกจากนี้ ยังมีงานสเกลใหญ่ที่อยู่ในมืออีกประมาณ 4-5 งาน คิดเป็นมูลค่าbacklog ประมาณ 500 ล้านบาท

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า จากการที่กาตาร์จะเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งต่อไป ทำให้บริษัทมีความสนใจจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมการแข่งขันกีฬาดังกล่าว โดยขณะนี้ได้เริ่มมีการพูดคุยและมองหาโอกาสในการรับงานเกี่ยวกับฟุตบอลโลกในกาตาร์ด้วย เช่น การเป็นสปอนเซอร์อีเวนต์ และการพูดคุยโดยตรงกับทางภาครัฐของกาตาร์ เพื่อรับโอกาสเข้าร่วมการจัดงานดังกล่าว เพื่อให้ปี 2565 มีรายได้เพิ่มขึ้น

 
 
 
ส่วนงานสุดท้ายของ Own-Project ที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 2562 นี้ คือ การจับมือร่วมกับดับเบิลยูดิสทริก จัดงานเคานต์ดาวน์ "THE HELIPAD 360 องศา EXCLUSIVE PARTY AT THE SKY EXPERIENCE" ที่ชั้น 46 และชั้น 50 อาคารสกายวอล์ก คอนโดมิเนียม ในโครงการดับเบิลยูดิสทริก (W District) ภายใต้งบลงทุน 5 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 1,000 คน

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ช่วงปลายปีถือเป็นไฮซีซั่นของการจัดอีเวนต์ โดยเฉพาะอีเวนต์เคาท์ดาวน์ ซึ่งปีนี้บริษัทไม่ได้เข้าประมูลงานดังกล่าวเหมือนกับเมื่อ 8-9 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทได้รับสิทธิ์ในการจัดงานเคาน์ดาวน์ที่ลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัเวิลด์ติดต่อกันมา เพราะต้องการโฟกัสโครงการที่สร้างขึ้นมาเอง

อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะไม่ได้เน้นการจัดเคาท์ดาวน์ขนาดใหญ่เหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่อินเด็กซ์ก็ยังมีการจัดงานเคาน์ในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยการจับมือร่วมกับ “วิชัย พูลวรลักษณ์” จัดงาน The Helipad 360 องศา แบงค็อก เคาท์ดาวน์ 2020 แบบเอ็กซ์คลูสีพ ปาร์ตี้ จำหน่ายบัตรราคาตั้งแต่ 3,500 บาท รองรับคน 1,000 คน ซึ่งไฮไลท์ผู้เข้าร่วมงานจะเห็นพลุจากทุกมุมทั้งคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงจากเซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้งานวางแผนเคาท์ดาวน์ล่าช้ากว่าทุกจุดราว 5 นาที เพื่อให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำความงามของพลุ

จากการจัดงานที่เริ่มมีแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันไม่ได้มีการจัดงานเคาน์ดาวน์แค่เฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่มีในส่วนของต่างจังหวัดด้วย โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ของประเทศไทย ส่งผลให้ในแต่ละปีมีเม็ดเงินสะพัดช่วงงานเคาน์ดาวน์เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 5 เท่าตัว ขณะที่มูลค่าการจัดงานเคาน์ดาวน์ในปัจจุบันขยายตัวอยู่ที่หลักพันล้านบาท

นายเกรียงไกร กล่าวว่า นอกจากการจัดงานเคาน์ดาวน์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศอย่างน่าสนใจแล้ว สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือ ผู้บริโภคให้ความสนใจสวดมนต์ข้ามปีตามวัดต่างๆ มากขึ้น และรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทีวีสูงมากกว่าการจัดกิจกรรมเคาท์ดาวน์

ทั้งนี้ หลังจากเดินหน้าปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจใหม่ อินเด็กซ์ คาดการว่าสิ้นปี 2562 นี้ จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 13% ส่วนภาพรวมรายได้ของปี 2563 อินเด็กซ์ คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จาก Own-Project จะเพิ่มเป็น 25% จากปัจจุบัน 5.5% ครีเอทีฟ 20% จาก 13.9% และการบริการด้านการตลาดจะอยู่ที่ 50-55% จาก 80.6% ขณะที่ภาพรวมปีนี้ธุรกิจครีเอทีฟมีการเติบโตสูงถึง 119% ธุรกิจ Own-Project โต 65% ส่วนการบริการด้านการตลาดหดตัว 6%

แม้ว่าแนวโน้มธุรกิจอีเวนต์จะทรงๆตัวไม่เติบโตอย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ แต่ถ้าทุกคนหันมาปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในตลาดจากเดิมที่คาดว่าตลาดจะติดลบก็น่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบอกได้ไม่ยาก ถ้าไม่มีปัจจัยลบเข้ามาฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มเติม

 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 15 ธ.ค. 2562 เวลา : 20:54:38
23-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 23, 2024, 2:26 pm