กระทรวงสาธารณสุขแถลงความคืบหน้าสถานการณ์โรคไวรัสโควิด-19 ว่า พบคนไทยเป็นหญิงวัย 22 ปีติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย จากการทำงานสัมผัสใกล้ชิดพนักงานขับรถนักท่องเที่ยวที่พบติดเชื้อก่อนหน้านี้ (รายที่ 37) ทำให้ล่าสุดมียอดรายงานผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 43 ราย กลับบ้านได้แล้ว 31 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 11 รายและเสียชีวิต 1 ราย
จากที่สถานการณ์การระบาดของโรคมีการเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศ ทำให้ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ คือ เยอรมัน และฝรั่งเศส รวมเป็น 11 ประเทศ (8 ประเทศ+3 เขตปกครองพิเศษ) จากเดิมที่มีประเทศกลุ่มเสี่ยง 9 ประเทศ (6 ประเทศ+3 เขตปกครองพิเศษ) คือ จีน, ฮ่องกง, มาเก๊า, ไต้หวัน, สิงคโปร์ ,ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อิตาลี และอิหร่าน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ายังมีหลายประเทศที่มีโอกาสจะประกาศให้เป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติมจาก 11 ประเทศดังกล่าว เนื่องจากเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น อังกฤษ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย รวมถึงยังต้องติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างใกล้ชิดในแถบภาคกลางของสหรัฐอเมริกา
สำหรับการตรวจคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงที่เพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ ก็จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน คือ จะมีการตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิเมื่อเดินทางมาถึงสนามบิน หากมีไข้เกินกว่า 37.5 องศา มีอาการไอ ก็จะถูกแยกตัวออกมาซักประวัติอย่างละเอียดอีกครั้ง หากเข้าเกณฑ์ PUI ก็จะถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัย ซึ่งต้องถูกส่งตัวไปรับการรักษาที่รพ.ต่อไป แต่หากลงจากเครื่องมาแล้ว ร่างกายเป็นปกติดี ก็ต้องกลับไปเฝ้าระวังและสังเกตุอาการตัวเองที่บ้านอีก 14 วัน
นพ.สุขุม กล่าวว่า ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับนิยามของผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง (PUI) เพิ่มเติม โดยขยายเกณฑ์การเฝ้าระวังและสอบสวนโรคไปยังการป่วยที่เป็นกลุ่มก้อน หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อทางเดินหายใจเกิน 5 คนขึ้นไป ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีอาการป่วยในช่วงเวลาเดียวกัน จากเดิมที่เฝ้าระวังเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง, ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง, บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุ
สำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม - 1 มีนาคม 2563 มีจำนวน 3,252 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 95 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 3,157 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 1,872 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,380 ราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ำว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ยังอยู่ในระยะ 2 เนื่องจากการติดเชื้อในประเทศ (Local Transmission) ยังอยู่ในวงที่จำกัด แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า วันนี้จึงได้มีการประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมสถานการณ์และทำความเข้าใจ ในการเตรียมจัดหาอุปกรณ์ตั้งแต่ รพ.ชุมชน รพ.ประจำจังหวัด ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างใกล้ชิด โดยจะเป็นการปฏิบัติงานร่วมกันในรูปของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ส่วนกรณีสมาคมโรงพยาบาลเอกชนได้มีหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ว่าประสบปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยนั้น กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการสำรวจความต้องการการใช้หน้ากากอนามัยของโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนในภาพรวมของประเทศตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเสนอกระทรวงพาณิชย์เพื่อบรรเทาปัญหาต่อไป
ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีผู้ป่วยที่เสียชีวิตรายแรกในประเทศว่า กระบวนการที่จะระบุชัดเจนถึงสาเหตุการเสียชีวิต ต้องรอผลสรุปจากคณะกรรมการทางวิชาการอย่างเป็นทางการออกมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตจากไข้เลือดออก หรือเสียชีวิตจากโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขพร้อมที่จะรับฟังทุกข้อมูล และยืนยันว่าไม่ได้มีการปกปิดข้อมูลอย่างแน่นอน
ด้านนพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า จากกรณีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในต่างประเทศ ที่หายดีและกลับมาติดเชื้อใหม่อีกเป็นรอบที่สองนั้น ในเคสนี้ของไทยยังไม่พบว่ามีผู้ป่วยรายใดที่หายดีแล้ว กลับมาติดเชื้อใหม่อีกรอบ อย่างไรก็ดี การติดเชื้อโควิด-19 รอบสองมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ หากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ข่าวเด่น