ปีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจเอเยนซี่ต้องเผชิญกับปัญหารอบด้าน เพราะนอกจากจะต้องเจอกับปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อแล้ว ในปีนี้ยังต้องเผชิญกับปัญหาโรคระบาดอย่างเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โคโรน่าหรือโควิด-19 อีกด้วย จากปัญหาที่ต้องเผชิญดังกล่าว ทำให้เอเยนซี่แต่ละรายต้องปรับตัว เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ
หนึ่งในกลยุทธ์ที่เอเยนซี่เลือกดึงมาใช้คือการปรับรูปแบบบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้นเนื่องจากปัจจุบันลูกค้ามีการใช้งบอยู่ในวงจำกัด เพราะยังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้จะเป็นอย่างไร
นางคณพร ฮัทชิสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เกรย์เอ็นเจ ยูไนเต็ด จำกัด กล่าวว่าปัญหาที่รายล้อมประเทศอยู่ในขณะนี้ ทำให้การทำงานของเอเยนซี่ต้องมีความเข้มข้นมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานหรือการหากลยุทธ์ใหม่ๆมามัดใจลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามียอดขายมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องมีการสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จักตลอดเวลา เพื่อให้สินค้าและบริการดำรงอยู่ในตลาดอย่างยั่งยืน
สำหรับกลยุทธ์ที่ เกรย์เอ็นเจฯจะนำมาใช้ในปีนี้ คือการเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าฝ่าวิกฤติไปให้ได้ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1. ความคิดสร้างสรรค์ 2.ข้อมูล(Data) และ 3. เทคโนโลยี
ในส่วนของกลยุทธ์ที่ 1 ความคิดสร้างสรรค์นั้น เกรย์เอ็นเจฯจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้กับลูกค้า(Creativity solves business problems) ไม่ว่าโลกจะขับเคลื่อนไปในทิศทางใดก็ตาม รวมถึงเทคโนโลยีจะไปไกลเพียงใด“ความคิดสร้างสรรค์ยังคงเป็นแก่นสำคัญ” ในกระบวนการหาทางออกของธุรกิจ ไม่จำกัดเพียงแค่งานครีเอทีฟหรือการคิดเรื่องราวแต่ยังรวมไปถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การพัฒนาโซลูชั่นด้านผลิตภัณฑ์ การบริหารงานลูกค้าและโปรดักชั่น
กลยุทธ์ที่ 2 ดาต้า เกรย์เอ็นเจฯจะทำให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรม ความต้องการของผู้บริโภคได้แม่นยำยิ่งขึ้นและเกิดประโยชน์สูงสุดในการทำตลาด และกลยุทธ์ที่ 3 เทคโนโลยี เกรย์เอ็นเจฯจะใช้เครื่องมือดังกล่าวเข้ามาช่วยในการทำงาน เพื่อให้การสื่อสารการตลาดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นางคณพร กล่าวว่าการทำแคมเปญในทุกวันนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ใครมีดาต้าหรือเทคโนโลยีที่ล้ำกว่าใครแต่อยู่ที่การวิเคราะห์และวิธีการใช้อย่างสร้างสรรค์และตอบโจทย์ทางการตลาดของลูกค้าได้มากกว่ากัน ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของบริษัทที่มุ่งมั่นในการเป็น business solution ที่การผลิตงาน famously effective เพราะทุกอย่างไม่มีสูตรสำเร็จ ยุคนี้ลูกค้าต้องการการออกแบบที่เฉพาะตัว (personalize) ซึ่งเหมือนกับวงออร์เคสตราที่มีวาทยากรในการดึงจุดเด่นของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นออกมา เพื่อให้ได้เพลงที่ไพเราะ ถ้าลูกค้าต้องการเพลงโรแมนติก บริษัทจะต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชย์สูงสุดจากการทำแคมเปญต่างๆ
ด้าน น.ส.ทิพยจันทน์ หัสดินทร ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เกรย์เอ็นเจ ยูไนเต็ด กล่าวว่าในภาวะที่โลกเต็มไปด้วยข่าวร้ายและผู้บริโภคไม่อยู่ในอารมณ์ต้องการจับจ่ายใช้สอย เป็นโอกาสที่แบรนด์ควรสร้างตัวตนให้ชัดเจน สร้างความแข็งแรง เพื่ออยู่รอด
นอกจากนี้เกรย์เอ็นเจฯยังจะกำหนดแผนธุรกิจผ่านกลยุทธ์ 3P ได้แก่ People(คน) เพราะหัวใจสำคัญของธุรกิจโฆษณาปัจจุบันบริษัทนำโครงสร้างการทำงานแบบ agile มาใช้ ให้ทีมงานทำงานข้ามสายงานได้ตามความรู้ความถนัดที่มี เพื่อตอบโจทย์และความต้องการของลูกค้าแต่ละรายอย่างตรงจุดและว่องไว Products (บริการ) โดยการขยายโอกาสทางธุรกิจไปสู่ Experience Maximization เพื่อครอบคลุมเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภค(Customer Journey) และ Partnership (พันธมิตร) โดยการออกแบบแคมเปญการสื่อสารได้ตามความต้องการ(tailor made) ร่วมกับมีเดียเอเจนซี่ในกลุ่ม WPPs ตั้งแต่รับบรีฟ ผสานจุดแข็งทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ ดาต้า และเทคโนโลยีไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งเอเยนซี่ที่ออกมาประกาศปรับตัว เพื่อรับมือกับปัจจัยลบที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้ คือ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยนายแลนด์) จำกัด โดยล่าสุดได้มีการซื้อกิจการ “มัลเลนโลว์” ในเครือของ IPG กลุ่มธุรกิจเอเจนซียักษ์ใหญ่ระดับโลก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยการรีแบรนด์เป็น “มัลเลนโลว์ แบงค็อก” นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่าบริษัทมีทีมงาน ถนัดและเชี่ยวชาญการทำตลาดออนไลน์ ขณะที่การทำตลาดออฟไลน์ไม่ได้ถนัดมากนัก ดังนั้นการได้มัลเลนโลว์มาอยู่ในเครือมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มีความครบวงจรมากขึ้น
ก่อนหน้าที่ วายดีเอ็มฯจะซื้อกิจการ “มัลเลนโลว์” มี FCB Bangkok เป็นหัวหอกให้บริการตลาดออฟไลน์ให้กับลูกค้าอยู่แล้ว ดังนั้นการมีมัลเลนโลว์ จึงถือเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ซึ่งนายธนพล มั่นใจว่าหากมี “มัลเลนโลว์” เข้ามาร่วมธุรกิจจะไม่เกิดความซ้ำซ้อนในด้านการทำงานอย่างแน่นอน เพราะลูกค้าที่อยู่ในมือมีความแตกต่างกัน เช่น FCB Bangkok เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ(สกินแคร์) เช่น นีเวีย ของไบเออร์สด๊อรฟ ขณะที่มัลเลนโลว์เป็นกลุ่มเครื่องใช้ภายในครัวเรือน อาหาร โดยลูกค้ารายสำคัญคือ ไอศกรีมแม็กนั่ม, คนอร์ และน้ำยาล้างจานซันไลต์ ของยูนิลีเวอร์ รวมไปถึงเชนไดร้ท์
สำหรับแผนการทำตลาดของ วายดีเอ็ม ในปี 2563 นี้นั้น นายธนพล ระบุว่าการทำงานค่อนข้างมีความยากลำบาก เนื่องจากปีนี้ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายด้านไม่ว่าจะเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โคโรน่า ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวหรือผู้บริโภคชะลอกำลังซื้อ จากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวโดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โคโรน่า ที่ทำให้หลายกิจกรรมต้องเลื่อนและยกเลิกออกไป
นายธนพล กล่าวอีกว่าในฐานะเป็นเอเยนซีรายหนึ่งมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นต้องใช้มันสมองในการแก้เกม พร้อมกับวางกลยุทธ์ให้ลูกค้าขายสินค้าให้ได้ โดยการเน้นทำการตลาดดิจิทัล เนื่องจากปัจจุบันหมดยุคทำโฆษณาในรูปแบบ “หว่าน” เพื่อเจาะตลาดในวงกว้าง(Mass) แล้ว เพราะปัจจุบันผู้บริโภคเสพสื่อออนไลน์ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้ปัจจุบันสื่อออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้บริโภคไปแล้ว
ดังนั้นเอเยนซี่และนักการตลาด จึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น เพราะช่องทางนี้สามารถเข้าถึงตัวผู้บริโภคได้โดยตรง
ข่าวเด่น