แม้ว่าภาพรวมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 ของประเทศไทยจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะภายในประเทศขณะนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อติดต่อกันเกิน 1 เดือนแล้ว มีเพียงการติดเชื้อของผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเท่านั้น ซึ่งสถานการณ์ที่ดีขึ้นดังกล่าวทำให้ภาครัฐออกมาประกาศมาตรการผ่อนปรนให้กับธุรกิจต่างๆจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าทุกธุรกิจ และการใช้ชีวิตของคนไทยจะเริ่มกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ แต่ในภาคของธุรกิจก็ยังต้องค่อยๆ ปรับตัวกันไป เพราะจากวิกฤตที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบกันไปพอสมควร ส่วนจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กรว่าจะปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร
“เครือสหพัฒน์” ถือเป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้พอสมควร โดยในสิ้นปี 2563 นี้คาดการณ์กันว่าจะมีรายได้ลดลงไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านบาท
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ตั้งแต่เข้ามาบริหารเครือสหพัฒน์เจอวิกฤตนับไม่ถ้วน แต่เหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ถือว่าหนักสุด เพราะสร้างผลกระทบ และความเสียหายให้กับทุกภาคส่วน ซึ่งหากเปรียบกับวิกฤตต้มยำกุ้งถือว่าสาหัสกว่า เพราะการเกิดวิกฤตครั้งนั้นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ องค์กรธุรกิจ ขณะที่ภาคประชาชนทั่วไปไม่ค่อยได้รับผลกระทบ แต่สำหรับวิกฤตครั้งนี้ทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ หรือประชาชนได้รับผลกระทบอย่างมากเท่าเทียมกัน
แต่ถึงแม้ว่าโรคโควิด -19 จะส่งผลกับทุกภาคส่วน แต่วิกฤตย่อมมีโอกาส เพราะจากปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ทุกประเทศทั่วโลกถูก “Set Zero” อย่างเท่าเทียมกัน เช่น อเมริกา จะถอนออกจากจีน จากสมัยก่อนใครๆ ก็เข้าไปลงทุนในจีนเยอะ ขณะเดียวกันทุกวันนี้จีนแข็งแกร่ง ไม่ค่อยสนใจการลงทุนของอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถรองรับการลงทุนจากต่างประเทศได้ ก็จะเป็นโอกาสของประเทศไทย
นอกจากนี้ ศักยภาพของประเทศไทยยังไม่แพ้ชาติอื่น แต่ก็ต้องมาดูว่าประเทศไทยมีความสามารถทางการแข่งขัน หรือมีจุดแข็งในด้านไหนบ้าง เช่น “อาหาร” เพราะถึงอย่างไรก็เป็นที่ต้องการของตลาด และผู้บริโภค จึงมองว่าภาคการส่งออก “กลุ่มสินค้าอาหาร” จะอยู่ในทิศทางที่ดี”
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวต่อว่า หากค่าเงินบาทของไทยอยู่ที่ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจของไทยก็น่าจะฟื้นตัวเร็วภายใน 1 ปี แต่ถ้าอ่อนค่าอยู่ที่ 34 บาทก็จะใช้เวลาในการฟื้นตัวประมาณ 3 ปี และต่อไปถ้า “ทอง” มีค่ามากกว่าเงินดอลลาร์ ก็จะทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวมีเงินหมุนเวียนดีขึ้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงและต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คือ การเกิดตัวแปรด้านสงคราม Idea – IO ของมหาอำนาจโลก เนื่องจากจะมีหลายตัวแปรเกิดขึ้น และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งของมหาอำนาจของโลก จนทำให้เกิด “สงครามไอเดีย” หรือ “สงครามความคิด” และ “สงคราม IO”
จากสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นดังกล่าว ภาคธุรกิจต้องรู้จักจังหวะในการขยายการลงทุน และควรรู้ว่าสินค้าใดควร “Scale Down” และ “สร้างการเติบโต” ซึ่งในส่วนของสินค้าในเครือสหพัฒน์เองก็มีสินค้าหลายกลุ่มที่เติบโตดี ขณะเดียวกันก็มีสินค้าอีกหลายกลุ่มที่เติบโตลดลง เช่น กลุ่มธุรกิจที่ยังคงเติบโต คือ สินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนกลุ่มที่เติบโตลดลง คือ กลุ่มสินค้าแฟชั่น เครื่องแต่งกาย เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีการปิดห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้า ทำให้ไม่สามารถขายสินค้าได้
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า การทำธุรกิจที่ดีต้องอย่าใช้เงินกู้ ต้องใช้เงินทุนตัวเอง และต้องมี “สายป่าน” ที่ดี ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 77 ปีที่ “เครือสหพัฒน์” ดำเนินธุรกิจมาผ่านวิกฤตมาแล้วมากมาย เช่นเมื่อครั้ง “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เวลานั้นการบริหารของเครือสหพัฒน์ ส่วนใหญ่ใช้เงินกู้จากต่างประเทศ จนกระทั่งเกิดการลอยตัวค่าเงินบาท ได้กลายเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ในการทำธุรกิจ ซึ่งตั้งแต่นั้นมาเราก็ย้ำกับบริษัทในเครือว่า “ต่อไปนี้ บริษัทไหนอย่าใช้ความคิดที่จะนำเงินกู้มาค้าขาย ต้องพยายามสร้างด้วยตัวเอง ให้ใช้เงินทุนตัวเอง ทำทุกอย่างให้อยู่ในความสามารถของตัวเอง มีมาก ทำมาก มีน้อย ทำน้อย ซึ่งเราใช้นโยบายนี้มาโดยตลอด
ดังนั้น วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถึงจะได้รับผลกระทบ แต่ภาพรวมขององค์กรก็ยังมีสภาพคล่อง และมีสายป่านธุรกิจที่ดี ที่ผ่านมาเครือสหพัฒน์ขึ้นๆ ลงๆ มาเยอะ จนชินแล้ว ยิ่งมาเจอ COVID-19 แทบไม่ต้องพูดถึงการเติบโตด้านผลประกอบการ และการลงทุน หากแต่อยู่ที่ว่าจะ “พยุงธุรกิจ” อย่างไรไม่ให้ “ขาดทุน” การทำธุรกิจเหมือนกับการแข่งวิ่งมาราธอน ถ้าสามารถอึด – อยู่ได้ และฝ่าวิกฤตนี้ผ่านไปได้ ธุรกิจนั้นถือว่าเก่งแล้ว ดังนั้น การจะพาธุรกิจอยู่รอดต่อไปได้องค์กรต้องมีขนาดเหมาะสม มีความคล่องตัว และรวดเร็ว เปรียบได้กับ ปลาเร็ว กินปลาช้า ไม่ใช่ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก อีกต่อไปแล้ว
นอกจากจะต้องทำธุรกิจด้วยความรอบคอบแล้ว การพา “เครือสหพัฒน์” ก้าวสู่การเป็น Digital Transformation ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ยังคงต้องทำต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในยุคดิจิทัล และถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ “เครือสหพัฒน์” จะนำมาใช้
ล่าสุด “เครือสหพัฒน์” ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์” มาเป็นการจัดงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ออนไลน์" ผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ www.sahagroupfair.com เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ อีกทั้งยังสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่นิยมการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยงานดังกล่าวจะมีกำหนดจัดในวันที่ 2-5 ก.ค. 2563 ร่วมกับพาร์ทเนอร์ 3 รายใหญ่ คือ LAZADA SHOPEE และ JD CENTRAL สินค้าที่นำมาจำหน่ายก็มีมากมายกว่า 20,000 รายการ เรียกได้ว่ายังช้อปกันได้จุใจเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็น Fashion, Lingerie, Health & Beauty, Baby & Toddler, Household, Grocery หรือ Services & Education
ข่าวเด่น