การตลาด
สกู๊ป ''น้ำดำ'' เปิดศึกสูตรไม่มีน้ำตาล ''เป๊ปซี่'' ดึง ''BlackPink'' เจาะเจน Z รวด 4 ประเทศ


ยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดสำหรับตลาดน้ำอัดลม  แม้ว่าช่วงหน้าหนาวจะไม่ใช่หน้าขายของบรรดาตลาดเครื่องดื่ม แต่จากการที่ช่วงปลายปีมีเทศกาลเฉลิมฉลองจำนวนมาก  เครื่องดื่มจึงกลายเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ได้ผู้บริโภคเลือกจับจ่าย เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มในการเฉลิมฉลอง

จากข้อมูลพบว่าในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.  2563 ที่ผ่านมา ตลาดเครื่องดื่ม 155,000 ล้านบาท ติดลบ 7% ในมูลค่าดังกล่าว แบ่งเป็นตลาดน้ำอัดลม 36%  ติดลบ 2.5% ตลาดน้ำเปล่า 25% ติดลบ 12% ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 14%  ติดลบ 6%  กาแฟพร้อมดื่ม 8% ติดลบ 13%  ชาพร้อมดื่ม 8% ติดลบ 13%  โซดา 5% ทรงตัว  และเครื่องดื่มให้พลังงาน 3% ติดลบ 13%
 
ในส่วนของตลาดน้ำอัดลมปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 55,800 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดน้ำดำ 38,750 ล้านบาท  ตลาดน้ำสี 12,400 ล้านบาท และตลาดเลมอนเนด 4,650 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดน้ำอัดลมขยายตัวติดลบน้อยกว่าเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ เพราะผู้บริโภคนิยมดื่มเพื่อเรียกความสดชื่น 
 
แต่ที่น่าจับตามากกว่านั้น คือ การเติบโตของน้ำอัดลมกลุ่มไม่มีน้ำตาลที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นตัวเลข 2 หลัก และจากการที่ผู้บริโภคชาวไทยหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้เทรนด์นี้ถูกสะท้อนผ่านการเติบโตอย่างรวดเร็วของผลิตภัณฑ์กลุ่มไม่มีน้ำตาล ซึ่งในส่วนของตลาดน้ำอัดลมปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงถึง  52.5% หรือคิดเป็นเกือบ 4 เท่าของอัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์น้ำอัดลมโดยรวม
 
 
จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการในตลาดน้ำอัดลมเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ด้วยการเปิดตัวน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง  เห็นได้จากเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา 'บริษัท โคคา-โคล่า' (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกมาเปิดตัว ‘โค้ก สูตรไม่มีน้ำตาล’ สูตรใหม่เข้ามาทำตลาด คือ  ‘โค้ก สูตรไม่มีน้ำตาล กลิ่นออร์เรนจ์’  ซ่อนเซอร์ไพรซ์กลิ่นส้ม  เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลและโดยรวม
 
สำหรับแผนการทำตลาด ‘โค้ก สูตรไม่มีน้ำตาล กลิ่นออร์เรนจ์’ มีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ตามช่องทางการจำหน่ายต่างๆ ทั่วประเทศ โดยขวด PET ขนาด 330 มล. ราคา 10 บาท กระป๋องขนาด 325 มล. ราคา 15 บาท ขวด PET ขนาด 500 มล. ราคา 18 บาท และขวด PET ขนาด 1.5 ลิตร ในราคา 27 บาท
 
ความสำเร็จที่ค่ายโค้ก ได้รับดังกล่าวทำให้ค่ายเป๊ปซี่ ต้องออกมาตอบโต้ ด้วยการคว้า BlackPink วงเกิร์ลกรุ๊ปยอดนิยมจากประเทศเกาหลีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ให้กับ "เป๊ปซี่แมกซ์" น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลของค่ายเป๊ปซี่  เพื่อลุยตลาดกลุ่ม Gen Z  และเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคใน 4 ประเทศ  ประกอบด้วย จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทย 
 
น.ส.ลัดดาวรรณ เลิศวศิน ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด เครื่องดื่มเป๊ปซี่ บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ซันโทรี่ และเป๊ปซี่โค ในประเทศไทย กล่าวว่า  จากแนวโน้มของผู้บริโภคที่หันมาให้ความใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น  ด้วยการเลือกรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ  บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสในการนำน้ำอัดลม เป๊ปซี่ แม็กซ์  สูตรไม่มีน้ำตาลมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอีกครั้ง  เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์  และสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น  
 
 
ล่าสุดได้มีการจัดแคมเปญ Pepsi Max x BlackPink ด้วยการดึง  BlackPink ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ป จากประเทศเกาหลีใต้  ซึ่งมีผู้ติดตามมากที่สุดวงหนึ่งในวงการเพลงระดับโลก มาเป็นตัวแทนของเป๊ปซี่ในเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ประเทศจีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศไทย  เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) รวมถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่กับแบรนด์ (Brand Relevancy) ผ่านความน่าสนใจ และคาแรกเตอร์ที่หลากหลายของทั้ง 4 ศิลปินสาว เพื่อชิงตำแหน่งอันดับ 1 ในกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล
 
สำหรับประเทศไทยวง  BlackPink ถือเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปที่กลุ่มวัยรุ่นให้ความชื่นชอบเป็นอย่างมาก จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะนำวง  BlackPink  เข้ามาช่วยสร้างแบรนด์และกระตุ้นยอดขาย  โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen  Z  เนื่องจากกลุ่มวัยรุ่นไทยให้ความสนใจกับดนตรีเป็นอันดับต้นๆ 
 
น.ส. ลัดดาวรรณ  กล่าวต่อว่า  การใช้ศิลปินเบอร์ดังอย่าง BlackPink เข้ามาเป็นตัวแทนของเป๊ปซี่ในเอเชียแปซิฟิก ก็เพื่อดึงความสนใจ กระตุ้นยอดการรับรู้และการทดลองซื้อสินค้ามากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจของกลุ่ม Gen Z ที่ชอบความหลากหลาย เปิดรับความแปลกใหม่ ท้าทาย ไม่จำเจ และสนุกกับการใช้ชีวิต
 
 
ในส่วนของการจัดแคมเปญ Pepsi Max x BlackPink นั้น ค่ายเป๊ปซี่  ได้มีการใช้งบก้อนหนึ่งผ่านการทำกิจกรรมการตลาดแบบ 360 องศา เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เช่น  ภาพยนตร์โฆษณา สื่อโฆษณากลางแจ้ง สื่อโฆษณาเคลื่อนที่ สื่อ ณ จุดขายและในร้านค้า สื่อดิจิทัล รวมไปถึงกิจกรรมทางการตลาดแบบจัดเต็ม เพื่อให้เข้าถึงกลุ่ม Gen Z และกระตุ้นให้ลองเครื่องดื่มน้ำอัดลมปราศจากน้ำตาล 0 แคลอรี  ซึ่งแคมเปญนี้ถือเป็นแคมเปญใหญ่ที่สุดสำหรับปี 2563 นี้ก็ว่าได้  
 
แนวทางการทำตลาดดังกล่าวถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับก่อนหน้านี้ ที่ค่ายเป๊ปซี่ พยายามทำกิจกรรมการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมาย Gen Z  โดยเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ค่ายเป๊ปซี่  ก็ได้มีการใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในส่วนของแบรนด์ “มิรินด้า” เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Gen Z ผ่านแคมเปญการตลาด “Mirinda Mix Up Your World มิรินด้าสนุกทุกสี ซ่าไม่มีซ้ำ” ที่เจาะลึกถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ โดย 60% จะมุ่งใช้ลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัล  ส่วนที่เหลืออีก 40% จะใช้ไปกับสื่อเทรดดิชั่นนอล เช่น สื่อโฆษณาทีวี  และบิลบอร์ด เป็นต้น 
 
ปัจจัยที่ค่ายเป๊ปซี่เลือกทำการตลาดในโลกดิจิทัลเป็นหลัก เพราะต้องการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย Gen Z และกระตุ้นให้หันมาลองเครื่องดื่มมิรินด้า เช่น  การจับมือกับ TIK TOK ในการสร้างสรรค์ความสนุกผ่านฟีเจอร์ใหม่ๆ การใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ได้ทีมครีเอทีฟของ TIK TOK มาทำงานร่วมกัน พร้อมกับได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด มิรินด้า กลิ่นมิกซ์เบอร์รี่และแตงโม เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ผสาน 2 กลิ่นผลไม้ในขวดเดียว มีให้เลือก 2 ขนาด คือ แบบขวด PET ขนาด 345 มิลลิลิตร และ 440 มิลลิลิตร เข้าทำตลาด  เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการทดลองดื่ม เป็นต้น  

LastUpdate 07/11/2563 19:26:08 โดย : Admin
17-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 17, 2024, 12:34 am