ถ้าจะพูดถึงธุรกิจค้าปลีกสัญชาติไทยที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาหลายทศวรรษ หนึ่งในแบรนด์ต้นๆที่หลายคนนึกถึงต้องเป็น “เดอะมอลล์” อย่างแน่นอน เพราะจากวันแรกจนถึงวันนี้ “เดอะมอลล์” ก็ดำเนินธุรกิจมามากกว่า 39 ปีแล้ว และเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป “เดอะมอลล์” ก็ได้มีการรีแบรนด์ดิ้งภาพลักษณ์ขององค์กกรใหม่ จาก “เดอะมอลล์ อาณาจักรแห่งความสุขทุกครอบครัว” สู่ “THE MALL LIFESTORE” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A HAPPY PLACE TO LIVE LIFE : ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว” เพื่อเป็นการฉลองการเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 ของการทำธุรกิจ
ปัจจุบัน “เดอะมอลล์” มีธุรกิจในเครือ แบรนด์ ประกอบด้วย เดอะมอลล์ เอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ บลูพอร์ต และสยามพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ซึ่งในส่วนของสาขาแรกที่ได้ทำการปรับโลโก้ใหม่ เพื่อให้สอดคล้อกับภาพลักษณ์ใหม่ และคอนเซ็ปต์ใหม่ คือ เดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วาน ด้วยการเปลี่ยนโลโก้ใหม่จาก M ริบบิ้นม้วนสีแดง เป็นตัว M แบบเรียบง่าย ดูแข็งแรงร่วมสมัยเป็นสากล และคำว่า LIFESTORE ซึ่งการปรับภาพลักษณ์ใหม่ครั้งนี้ เป็นไปตามแผนโรดแมพ 5 ปีที่วางไว้ (ปี2562-2566)
นอกจากนี้ “เดอะมอลล์” ยังมีแผนที่จะรีโนเวทแบรนด์เดอะมอลล์ อีก 3 สาขา เพื่อรองรับฐานลูกค้าชานเมือง ประกอบด้วย เดอะมอลล์ สาขาท่าพระ เดอะมอลล์สาขาบางแค และเดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ โดยในส่วนของเดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ จะเริ่มทำการรีโรเวทในต้นปี 2564 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566 ซึ่งแผนการรีโนเวทดังกล่าวคาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนรวมกันไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
นางศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เดิมที่บริษัทตั้งใจจะเปิดโฉมใหม่ของเดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วานตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนมาเป็นปลายปีเพราะเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นโรคระบาดที่มีความร้ายแรงระดับ World War 3 เพราะส่งผลให้เกิดการดิสรัปชั่นอย่างรุนแรง จากเดิมจะแข่งขันกันเฉพาะในประเทศ(โลคอล) เท่านั้น แต่ปัจจุบันเกิดการแข่งขันกันทั่วโลก
ขณะเดียวกัน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นยังนำมาสู่อีโคโนมีไครซิส (Economy Crysis) หรือวิกฤติทางเศรษฐกิจ ซึ่งทุกภาคธุรกิจกำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี ก็มีความคาดหวังกันว่าทุกอย่างน่าจะเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นในปีหน้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคให้เปลี่ยนแปลงไป และทำให้ “เดอะมอลล์” ต้องปรับตัวตามให้ทัน เช่น การหันมารุกทำอีคอมเมิร์ช, คอลล์ to ออเดอร์ และดีลิเวอรี่ให้มากขึ้น ซึ่งจากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวในส่วนของภาคธุรกิจห้างค้าปลีกถือว่าได้รับผลกระทบไปมากพอสมควร โดยเฉพาะด้านปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการช้อปปิ้งในช่องทางออฟไลน์ หรือหน้าร้านจะปรับตัวลดลง แต่ในส่วนของการช้อปปิ้งออนไลน์กลับโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิอีคอมเมิร์ซอย่างลาซาด้า ที่จากเดิมจะมียอดขายเพียง 40,000 -50,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่ปัจจุบันปรับตัวเพิ่มเป็น 2 แสนล้านบาท
สำหรับในส่วนของเดอะมอลล์ หลังจากปรับภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยการเริ่มที่สาขางามวงศ์วาน เป็นสาขาแรก เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทุกเจนเนอเรชั่น ภายใต้ 4 แนวคิด ได้แก่ 1.URBANHOOD LIFESTYLE รังสรรค์ไลฟ์สไตล์ทันสมัย ยกแบรนด์ที่ครบครันมาไว้ที่เดียว 2.HYBRID EXPERIENCE Shopping แบบไร้รอยต่อทุกพื้นที่จัดรูปแบบร้านเป็นแบบ SEAMLESS SHOPPING EXPERIENCE 3.NATURE ENJOYMENT ภาษาธรรมชาติเข้ากับหลายสไตล์อย่างลงตัวทุกพื้นที่ และ4.NEIGHBOURHOOD COMMUNITY เชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดี มอบส่งกิจกรรมดีๆ ให้กับชุมชนและทุกคนในครอบครัว “เดอะมอลล์” มั่นใจว่าจะทำให้แบรนด์ สินค้า และบริการเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น
ด้าน น.ส.อัจฉรา อัมพุช รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของเดอะมอลล์ ไลฟ์สไตล์ งามวงศ์วาน มีพื้นที่รวมกว่า 300,000 ตารางเมตร ใช้งบปรับใหม่กว่า 4,000 ล้านบาท ออกแบบคอนเซ็ปต์ GREEN HOUSE อำนวยความสะดวกสบายครบทุกโหมดไลฟ์สไตล์ทั้ง ช้อป กิน เล่น เที่ยว เสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 ของทุกเจนเนอเรชั่น ด้วย 14 สุนทรีภาพแห่งการช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ เช่น 1.Fashion กับแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำกว่า 400 แบรนด์ ทั้งระดับโลกและชั้นนำของประเทศ 2.Beauty กับแบรนด์ชั้นนำระดับเวิล์ดคลาสกว่า 150 แบรนด์ 3.Lifestyle ตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชั่น อย่าง ร้าน MUJI ที่มาพร้อมโซนร้านกาแฟ 4.Sport Mall ศูนย์รวมจำหน่ายทุกสินค้าและอุปกรณ์กีฬาจากแบรนด์ดังทั่วโลกกว่า 200 แบรนด์ 5.Power Mall กับเครื่องใช้ไฟฟ้าจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 100 แบรนด์
6.Be Trend กับสินค้าไลฟ์สไตล์ 7.The Living ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ กับคอนเซ็ปต์ Nature Market 8.Kids’ Planet ภายใต้คอนเซ็ปต์ World of Imaginative Kids 9.Digital, IT ศูนย์รวมดิจิทัลไลฟ์สไตล์แบรนด์ชั้นนำกว่า 60 ร้าน 10.Gourmet Market ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฝั่งเหนือ ด้วยพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร 11.Food&Dining หลากหลายแบรนด์ดังกว่า 200 ร้าน 12.Entertainment & Fundutainment กับ5 ความบันเทิง อย่าง SFX Cinema, Fantasia Lagoon, Harborland, Jolly Jungle Playland และWonder Planet 13.MCC Hall มาตรฐานระกับสากล กับพื้นที่ 5,000 ตารางเมตร และ14.Parking & Facilities ด้วยที่จอดรถแบบปกติกว่า 3,500 คัน แบบอัตโนมัติ 600 คัน และรถตู้โดยสารสาธารณะ 8 สาย
นอกจากนี้ ยังได้ใช้งบ 200 ล้านบาท จัดกิจกรรมฉลองโฉมใหม่ในวันที่ 26 พ.ย. นี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ A HAPPY PLACE TO LIVE LIFE ชีวิตที่มีความสุขทุกครัวเรือน พร้อมจัดโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ ซึ่งหลังจากจัดกิจกรรมดังกล่าวคาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนคนต่อวัน จากเดิม 50,000-60,000 คนต่อวัน และมีรายได้สูงกว่าสาขาอื่นๆ 10% เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าสาขางามวงศ์วานจะมีรายได้โตที่ 20%
ข่าวเด่น