เริ่มกลับมาคึกคักแล้วสำหรับภาพรวมธุรกิจค้าปลีกของไทย ภายหลังได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง หรือโครงการช้อปดีมีคืน โดยเฉพาะโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถนำค่าใช้จ่ายที่ซื้อสินค้าไปมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้ไม่เกิน 30,000 บาท ทำให้ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากซึมไปหลายเดือน เพราะพิษการระบาดของโรคโควิด-19
จากข้อมูลของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ระบุว่า การดำเนินมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายภายในประเทศกลับมาฟื้นตัวตามลำดับ พร้อมคาดการณ์ ตัวเลข GDP ปี 2563 น่าจะมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น หรือขยายตัวติดลบอยู่ที่ประมาณ 6% จากเดิมคาดการณ์ว่าจะติดลบอยู่ที่ประมาณ 7.8%
สำหรับปี 2564 สภาพัฒน์ คาดการณ์ว่า GDP ของไทยน่าจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกอยู่ที่ 3.5 - 4.5% เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากความสำเร็จในการป้องกันและควบคุมการระบาดโรคโควิด-19 ของไทย และได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาประกาศโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีการผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เช่น กองถ่ายภาพยนตร์, ผู้มาเข้าร่วมงานแสดงสินค้า, กลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง และ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบพิเศษ (Special Tourist Visa (STV)) (ข้อมูลสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ณ 16 พ.ย. 2563) จึงน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีที่ทำให้ประเทศไทยมีภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าหลายๆ ประเทศ
น.ส.วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า โครงการต่างๆ ที่ภาครัฐประกาศออกมาถือว่าดูดีกว่าปีที่แล้ว เพราะแต่ละโครงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายชัดเจน เช่น ช้อปดีมีคืนเจาะกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อปานกลางถึงสูง ส่วนคนละครึ่งก็เหมาะสมกับกลุ่มระดับรากหญ้า และโครงการมีระยะเวลาที่นานขึ้น ที่สำคัญผู้บริโภคมีประสบการณ์เรื่องการโหลดแอพหรือการเตรียมความพร้อมในเรื่องการลงทะเบียนใช้สิทธิ์แคมเปญต่างๆ และร้านค้าที่เข้าร่วม 2 มาตรการนี้ก็มีหลายจำนวนมากกว่า 5 แสนร้านค้า เป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อการบริโภคของผู้บริโภคได้อย่างดี อีกทั้งการที่คนไทยเดินทางไปช้อปปิ้งต่างประเทศไม่ได้ ก็ทำให้คนไทยที่มีกำลังซื้อสูงกลุ่มนั้น หันมาชอปปิ้งที่ประเทศไทยแทน
ในส่วนของภาพรวม เดอะมอลล์ กรุ๊ป พบว่า ในช่วง 10 วันแรกของการประกาศใช้มาตรการช้อปดีมีคืน มีลูกค้าประมาณ 25% หรือประมาณ 25 คนจากทุก 100 คน ที่มาใช้สิทธิ์ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี
อย่างไรก็ดี การที่จะให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยกลับคืนมาดีเหมือนเดิม สิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลต้องเปิดประเทศและให้มีการเดินทางมากขึ้น ภายใต้มาตรการการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อที่ให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศมาเมืองไทยมากขึ้น เพราะเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องการจะมาไทยอยู่แล้ว เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการคุมด้านสุขอนามัยที่ดี
น.ส.วรลักษณ์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าตอนนี้คนไทยจะมีการหันมาท่องเที่ยวในประเทศ และช้อปปิ้งในประเทศมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถนำมาทดแทนกับกำลังซื้อและปริมาณการจับจ่ายจากคนต่างชาติที่มาไทยมากถึง 30 ล้านคนต่อปีไม่ได้ และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งในประเทศมากขึ้น ล่าสุดบริษัทได้ใช้งบประมาณ 250 ล้านบาท จัด 2 แคมเปญใหญ่ “HAPPIER TOGETHER 2021” ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ทุกสาขา, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน, เอ็มโพเรียม, เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์
นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดแคมเปญ “THE MALL JOY OF GIVING HAPPY FACTORY” ที่ศูนย์การค้า เดอะมอลล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ทุกสาขา ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. 2563 - 6 ม.ค. 2564 ด้วยการมอบโปรโมชั่นทั้งส่วนลด และของรางวัลพิเศษต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการกิจกรรมต่างๆ อีกมากมาย เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ซึ่งของรางวัลพิเศษที่ เดอะมอลล์ นำมามอบให้กับลูกค้าในครั้งนี้ คือ รถยนต์ TOYOTA MAJESTY มูลค่า 1,914,000 บาท จำนวน 1 คัน เมื่อลูกค้าช้อปภายในห้างฯและศูนย์ฯครบทุก 1,000 บาท ซึ่งหลังจากออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายดังกล่าว เดอะมอลล์ คาดว่าจะมีรายได้รวมในสิ้นปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่มีรายได้ประมาณ 52,000 ล้านบาท
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มเดอะมอลล์ ในปี 2564 ที่จะถึงนี้ ได้วางแผนการตลาดไว้ 7 กลยุทธ์ด้วยกัน ประกอบด้วย 1. Customer Experience สร้างประสบการณ์พิเศษให้แก่ลูกค้าด้วยหลากหลายกิจกรรม 2. Digitization : Gamification นำเทคโนโลยี และดิจิทัลในการทำการตลาดแบบครบวงจร ทั้งออฟไลน์และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ 3. Omni-Channel : O2O Omni Channel Retailers นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันมาเป็นตัวช่วยในการวางแพลตฟอร์มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้มากที่สุด ครบทุกช่องทางที่สุด ทั้งทางออฟไลน์ ออนไลน์ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
4. Collaboration การผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีกลุ่มลูกค้าเหมือนกัน ในการทำแคมเปญและกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งขยายฐานกลุ่มลูกค้ามากขึ้น การร่วมกับพันธมิตรแบรนด์สินค้า ร้านค้าทั้งในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า พันธมิตรทางสถาบันการเงินเพื่อมอบข้อเสนอพิเศษที่คุ้มค่าให้แก่ลูกค้า 5. Value Equation เน้นการมอบความคุ้มค่าในเรื่องสิทธิประโยชน์สูงสุดให้แก่ลูกค้า และพาร์ตเนอร์
6. Food / SME Marketing ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน Food Destination และการจัด Food Event ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก รวมทั้งยังสนับสนุนส่งเสริมกลุ่ม SME ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เปิดพื้นที่ให้กลุ่ม SME ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น และ 7. CSR / Eco / Community เดอะมอลล์ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจเคียงคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมมาโดยตลอด และหนึ่งในโครงการเพื่อสังคมที่สำคัญคือ โครงการ “M Heart สายโลหิต สายใจ” รณรงค์การรับบริจาคโลหิตและเปิดบริการห้องรับบริจาคโลหิตถาวร (Fixed Station) 365 วัน รวมไปถึงการเป็นห้างสรรพสินค้าสีเขียว Green Department Store แห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้โครงการ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป โก กรีน”
ข่าวเด่น