แม้ว่าปีนี้ประเทศไทยจะประสบกับปัญหาหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หรือปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ แต่ยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังให้ความมั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะไทยยังสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ดีในหลายเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ ในด้านของการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวก็มีการอัดงบประมาณลงไป เพื่อให้ประชาชนกล้าที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนภายในประเทศ เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยไม่สามารถพึ่งพาเม็ดเงินหลักที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จึงทำให้ต้องมีการประกาศมาตรการต่างๆ ออกมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นโครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง หรือโครงการช้อปดีมีคืน เป็นต้น
จากมาตรการดังกล่าว และการที่เศรษฐกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเหมือนที่ผ่านมา และหนึ่งในนั้นก็คือ เนสท์เล่ ล่าสุดได้ออกมาประกาศงบลงทุนในประเทศไทยกว่า 4,500 ล้านบาท ขยายโรงงานผลิตสินค้าในส่วนต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า ปี 2563 นี้ถือเป็นปีที่ท้าทายสำหรับบริษัท แต่บริษัทก็ยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดประเทศไทย และมองเห็นถึงการเติบโตในระยะยาว จึงพร้อมทุ่มงบรวมกว่า 4,500 ล้านบาทขยายการลงทุนใน 3 โรงงานหลัก ได้แก่ โรงงานอมตะ โรงงานบางชัน และโรงงานยูเอชที นวนคร 7 เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ไอศกรีม และเครื่องดื่มยูเอชที
สำหรับการสร้างโรงงานอมตะแห่งใหม่ เพื่อเสริมพอร์ตกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงนั้น เนสท์เล่ จะใช้งบลงทุนกว่า 2,550 ล้านบาท มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2564 ส่วนโรงงานบางชัน ซึ่งเป็นโรงงานผลิตไอศกรีมนั้น เนสท์เล่ ได้เตรียมงบสำหรับการลงทุนไว้ที่ประมาณ 440 ล้านบาท ในการเพิ่มไลน์ผลิตที่โรงงานบางชันเมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังจะใช้งบอีกกว่า 1,530 ล้านบาท ในการสร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ โดยขณะนี้การก่อร้างได้แล้วเสร็จ และเริ่มทำการผลิตเครื่องดื่มได้แล้วเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการขยายตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูเอชที ซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนไทยหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและบรรจุภัณฑ์ที่ดีต่อโลกมากขึ้น จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ ไมโล และนมตราหมี ได้ผลการตอบรับดี
นายวิคเตอร์ กล่าวอีกว่า การที่บริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างโรงงานอาหารสัตว์เลี้ยงนั้น เพราะปัจจุบันคนจำนวนมากหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงามากขึ้น ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีผลกระทบในด้านของกำลังซื้อ ภายหลังประเทศไทยเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้หลายครอบครัวเริ่มลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แต่กำลังซื้อในตลาดสัตว์เลี้ยงก็ยังไม่ตก สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่พบว่าตลาดอาหารสัตว์พรีเมียมมีการขยายตัวสูงเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินมากขึ้น เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้แก่สัตว์เลี้ยงของตัวเอง
ส่วนการขยายไลน์ผลิตไอศกรีมที่โรงงานบางชัน ก็เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาดไอศกรีมในประเทศไทย เช่น ไอศกรีมโมจิ ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทยเป็นแบรนด์แรกและได้รับการตอบรับที่ดีมาก รวมถึงไอศกรีมคิทแคท และโอริโอ พร้อมริเริ่มนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไอศกรีมเนสท์เล่ เอ็กซ์ตรีม นามะ ที่ทำจากกระดาษเป็นครั้งแรกของไทยและสามารถรีไซเคิลได้ ทำให้ยอดขายไอศกรีมเนสท์เล่มีการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายโรงงาน เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตแล้ว เนสท์เล่ ยังให้ความสำคัญกับการทำการตลาดในรูปแบบของอีคอมเมิร์ซอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันพฤติกรมของผู้บริโภคชาวไทยหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
นายวิคเตอร์ กล่าวต่อว่า นับจากนี้ไปบริษัทจะให้ความสำคัญกับการทำการตลาดในช่องทางอีคอมเมิร์ซ หลังพบว่าก่อนหน้าที่จะเกิดโรคโควิด-19 ประเทศไทยคาดการณ์ว่า ภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 30% แต่ช่วงที่เกิดโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการเติบโตจากการคาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก เนื่องจากผู้บริโภคหันมาซื้อของใช้ในบ้านและสั่งอาหารออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ในปี 2563 คาดการณ์กันว่ายอดขาย่านช่องทางออนไลน์ของเนสท์เล่น่าจะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า
จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ทำให้ปี 2563 นี้ เนสท์เล่ ตัดสินใจลงทุนในกลุ่มอีบิสิเนส 50 ล้านบาท เพื่อจัดหาเครื่องมือที่ดีที่สุด และจับมือร่วมกับพาร์ตเนอร์ จัดการอบรมพนักงานให้ก้าวทันพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมใช้งบลงทุนสร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณา และระบบการจัดการข้อมูลของตัวเอง เพื่อนำเสนอสินค้า และบริการ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
การออกมาประกาศแผนเชิงรุกดังกล่าวของเนสท์เล่ ถือเป็นการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับผลการสำรวจไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างโดดเด่น 5 ด้านดังนี้ 1. เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นและมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 2. ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่นเพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน 3. ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้ามากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความท้าทาย 4.ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และ 5. ช่องทางอีคอมเมิร์ซ และบริการส่งอาหาร (ฟู้ดเดลิเวอรี่) มีการเติบโตสูง เนื่องจากผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก เนสท์เล่จึงนำอินไซต์เหล่านี้เป็นข้อมูลวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในครั้งนี้
หลังจากออกมาประกาศแผนเชิงรุกดังกล่าว ภาพรวมธุรกิจของเนสท์เล่ในปี 2564 จะเป็นอย่างไรคงต้องดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ การเตรียมความพร้อมในช่วงที่เศรษฐกิจซบน่าจะมีชัยไปกว่าครึ่งกว่าคนที่ยังไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรเลย เพราะหากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเมื่อไหร่ เนสท์เล่ก็พร้อมลุยในทันทีโกยยอดขายทันที ในขณะที่อีกหลายองค์กรอาจจะเพิ่งรุกขึ้นมาเตรียมตัว กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ เพราะเพื่อนที่มีความพร้อมได้โกยยอดขายตัดหน้าไปหมดแล้ว
ข่าวเด่น