แม้ว่าจะเหลือกันแค่ 2 แบรนด์หลักๆ สำหรับธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตของไทย คือ บิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างเทสโก้ โลตัส แต่การแข่งขันของห้างค้าปลีกประเภทดังกล่าวก็ยังคงมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายหลักของห้างค้าปลีกประเภทดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางลงล่างกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว จึงทำให้ผู้ประกอบการทั้ง 2 ค่ายต้องออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายกันอย่างหนัก เพื่อกระตุ้นให้มียอดขายเป้นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับในส่วนของห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ล่าสุดได้มีการออกมาประกาศยุทธศาสตร์เชิงรุก ด้วยการเดินหน้าขยายธุรกิจให้มีฟอร์แมตที่หลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภค เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้ามากขึ้น การปรับกลยุทธ์ให้มีฟอร์แมตร้านที่หลากหลาย จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ บิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ตจะเลือกหยิบมาใช้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายฐานลูกค้าเพิ่ม
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (บีเจซี) กล่าวว่า แนวทางการทำธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะใช้ยุทธศาสตร์ในการขยายห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ด้วยฟอร์แมตที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ด้วยการพัฒนาช่องทางการซื้อสินค้าที่หลากหลายใน 6 รูปแบบ ประกอบด้วย 1. Hypermarket/Supermarket ซึ่งเป็นรูปแบบ B2C ได้แก่ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์และบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้า ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ 152 สาขา และในปี 2564 นี้บริษัทมีแผนที่จะขยายร้านในฟอร์แมตดังกล่าวเพิ่มอีก 2 สาขา
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะรีโนเวทบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และบิ๊กซีเอ็กซ์ตร้าอีก 6 สาขา เช่น บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นตอร์ สาขาสำโรง เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็จะทำการรีโนเวท บิ๊กซี มาร์เก็ต 48 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเพลส 6 สาขา และอัพเกรด บิ๊กซี มาร์เก็ตเป็นบิ๊กซี ฟู้ดเพลส อีก 10 สาขา
ยุทธ์ศาสตร์ที่ 2 ที่ บิ๊กซีฯ จะเดินไป คือ Cash & Carry จะเป็นการให้บริการในรูปแบบ B2B ได้แก่ บิ๊กซี ดีโป้ 7 สาขา ขณะที่ยุทธศาสตร์ที่ 3 จะเป็นในส่วนของ Small Formats ในรูปแบบ Convenience ซึ่งจะเป็นในส่วนของ มินิบิ๊กซี ปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการ 1,231 สาขา โดยในปี 2564 นี้มีแผนจะขยายสาขาเพิ่ม 100-200 สาขา ส่วนร้านขายยา Pure ปัจจุบันมี 144 สาขา และร้านกาแฟวาวี ปัจจุบันมี 39 สาขา
ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ 4 Online ในรูปแบบ Omni-Channel ได้แก่ บิ๊กซี ช้อปปิ้งออนไลน์ , บิ๊กซี ไลน์&โทรมาช้อป และบิ๊กซี TMALL GLOBAL ที่เปิดให้ลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติสั่งซื้อสินค้าของบิ๊กซีได้อีกด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 5 New Channels การเพิ่มช่องทางใหม่ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เช่น บิ๊กซี เวนดิ้ง แมชชีน ซึ่ง บิ๊กซีฯ ได้มีการจับมือกับเครือสหพัฒน์ เพื่อทดลองให้บริการในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งในอนาคต บิ๊กซีฯ มีเป้าหมายที่จะตั้งให้บริการในโรงพยาบาล โรงงาน อาคารสำนักงาน รวมไปถึงคอนโดมิเนียม และสถานที่อื่นๆอีกมากมาย
สำหรับยุทธศาสตร์ที่ 6 ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สุดท้าย คือ International การขยายสาขาในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีร้านมินิบิ๊กซี ในรูปแบบแฟรนไชส์ในสปป.ลาว จำนวน 51 สาขา และยังคงมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะนำ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เข้าไปขยายสาขาในประเทศกัมพูชาอีก 1 สาขา ส่วนประเทศเวียดนาม บิ๊กซี มีแผนที่จะนำค้าปลีกโมเดลใหม่ๆ เข้าไปเปิดให้บริการ เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีร้านสะดวกซื้อ บีสมาร์ท และไฮเปอร์มาร์เก็ตภายใต้แบรนด์ “เอ็มเอ็ม มาร์เก็ต” ทำตลาดอยู่ และได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี
การออกมาประกาศยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจของ บิ๊กซีฯ ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการนำฐานข้อมูลของลูกค้าที่บริษัทมีอยู่มาปรับใช้ ซึ่งปัจจุบัน บิ๊กซีฯ มีฐานลูกค้าที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของบิ๊กการ์ด ในปี 2563 ที่ผ่านมาประมาณ 14.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากปี 2562 และในปี 2564 นี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 16.5 ล้านคน ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการขยายหน้าร้านแล้ว ในด้านของการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ บิ๊กซีฯ ก็จะให้ความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากช่องทางออนไลน์ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการสร้างรายได้ หลังจากพบว่าในช่วงปีที่ผ่านมามียอดขายเพิ่มขึ้นสูงถึง 200% ส่งผลให้ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้มาจากช่องทางออนไลน์อยู่ที่ประมาณ 30-40%
นายอัศวิน กล่าวอีก การเชื่อมโยงร้านค้าและออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ต้องมี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เพราะต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นธุรกิจนำเข้า หรือส่งออก รวมไปถึงธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวลดลง
ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคในประเทศเองก็มีกำลังซื้อที่ลดลง เมื่อโควิดทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนไป การตัดสินใจเปลี่ยนไป เงินในกระเป๋าน้อยลง บิ๊กซี เลยต้องออกมาปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะการเกิดขึ้นของโรคโควิด-19 ทำให้รายได้และผลกำไรของภาคธุรกิจปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับ บิ๊กซีฯ ที่ออกมายอมรับว่าภาพรวมผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2564 นี้ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการแพร่ระบาดเกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้น แต่ บิ๊กซีฯ ก็ยังคงเดินหน้าที่จะใช้งบลงทุน 4,000-5,000 ล้านบาท ในการลงทุนขยายและปรับปรุงสาขาในทุกๆ รูปแบบ รวมไปถึงการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การทำโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่กำลังซื้อยังไม่ฟื้นกลับคืนสู่ภาวะปกติ ซึ่งหลังจากออกมาทำการตลาดภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว บิ๊กซีฯ เชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ข่าวเด่น