คริปโตเคอเรนซี่
Scoop : Ethereum 2.0 กำลังมา! หากอัพเกรด "The Merge" แล้ว ส่งผลอย่างไรต่อไปกับเหรียญ ETH?


 

 

หากผู้อ่านยังจำกันได้จากสกู๊ปของ Series ทำความรู้จัก Ethereum ที่ทาง AC News เคยแนะนำให้รู้จักกันไปก่อนหน้านี้ คงจะพอรู้แล้วว่าตัว Blockchain หรือเครือข่ายของ Ethereum นั้นมีความโดดเด่นในเรื่องของความเป็น Decentralized และมีความปลอดภัยสูง ทำให้ผู้ใช้งานใน Chain นี้นั้นไว้วางใจได้ว่าจะไม่มีอำนาจตัวกลางมาคอย Monitor การทำธุรกรรมทางการเงินของเรา และปลอดภัยต่อการโดนโจมตีในเรื่องของ Bugs, Attacker หรือการโจรกรรมทางไซเบอร์อื่นๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการขาดความ Scalability หรือปัญหาการทำธุรกรรมที่ติดขัดแบบคอขวด ที่กว่าแต่ละ Transaction จะสำเร็จเสร็จลุล่วงนั้นจำเป็นต้องจ่ายค่า Gas (ค่าธรรมเนียม) ที่แพงเอาเรื่อง ทาง Ethereum เองเลยจะมีการอัพเกรดตัวเอง จาก Ethereum 1.0 ที่ขาดเรื่องของ Scalability เพียงอย่างเดียว ณ ตอนนี้ ไปเป็น Ethereum 2.0 ที่มีความสมบูรณ์แบบครบทุกด้าน ทั้งด้วยการขยายขนาดของการทำธุรกรรม และลดค่า Gas ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ยังคงรักษาความเป็น Decentralized และความ Security ที่เป็นจุดแข็งของ Chain เอาไว้ดังเดิม

โดยการอัพเกรดตัวเองเป็น Ethereum 2.0 นี้ จะต้องมีการเปลี่ยนระบบฉันทามติจาก ‘Proof of Work’ ไปเป็น ‘Proof of Stake’ อย่างเต็มรูปแบบ กล่าวคือ ช่วงของ Ethereum 1.0 ในตอนนี้ มีการตรวจสอบการทำธุรกรรมใน Chain ด้วยระบบแบบ Proof of Work อยู่ หรือก็คือการใช้พลังงานไฟฟ้าและการใช้เครื่องขุดที่เราคงคุ้นหูกันดี อย่างการขุดเหรียญ Bitcoin (Bitcoin ก็ใช้ระบบ Proof of Work เช่นกัน) ส่วนระบบแบบ Proof of Stake นั้น ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมของปี 2563 ทาง Ethereum ก็ได้เอาระบบนี้เข้ามาใช้เช่นกัน แต่เป็นการทำงานแบบคู่ขนาน ไม่ได้เอามารวมกัน และการใช้งานจะถูกจำกัดให้แค่ตรวจสอบบล็อกเท่านั้น ไม่ได้ทำงานครอบคลุมฟังก์ชั่นทั้งหมดของ Blockchain เหมือนกับระบบ Proof of Work ซึ่งการอัพเกรด Ethereum 2.0 นี้เอง ทาง Ethereum จะมีการ ‘ผสาน’ 2 ระบบนี้เข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นระบบ Proof of Stake อย่างสมบูรณ์ หรือเรียกขั้นตอนนี้ว่า ‘The Merge’ นั่นเอง

 
 
 รูปเฟส The Merge ของ Ethereum 2.0 ภาพจาก Consensus
 
จากภาพด้านบนเราจะเข้าใจชัดเจนขึ้นถึงขั้นตอนของ The Merge ที่จะผสาน Ethereum เครือข่ายหลักที่เป็น Proof of Work อยู่ เข้ากับ Beacon Chain (ที่เป็น Proof of Stake Chain) และตัวของ Beacon Chain นี้เองก็จะกลายเป็น Chain หลักของ Ethereum ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้ระบบฉันทามติแบบ Staking จะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า เพราะ Proof of Stake จะไม่ได้ใช้การขุดในการตรวจสอบธุรกรรม แต่เป็นการวางเงินค้ำประกัน (Stake เหรียญ ETH) เพื่อแลกกับสิทธิที่จะสามารถเข้าไปตรวจสอบ และได้เหรียญ ETH เพิ่มกลับมาเป็นค่าตอบแทน

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังมีการอัพเกรด The Merge จะทำให้ Supply ของเหรียญ ETH ที่เกิดขึ้นใหม่มีจำนวนลดลงไป 90% และแนวโน้มของการเทขายก็จะลดลงอย่างมากตามไปด้วย เพราะระบบแบบ Proof of Work ด้วยการขุด มีค่าใช้จ่ายเป็นทุนในเรื่องของพลังงานไฟฟ้า การประกอบเครื่องขุด และค่าดำเนินการ Maintenance ต่างๆ เมื่อได้ ETH กลับมาเป็นค่าตอบแทน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการขายเหรียญ ETH ออกมาบางส่วนมาจ่ายทุนที่เราออกไปก่อน (ปัจจุบันแรงขายหลักๆก็เกิดจากส่วนนี้) ฉะนั้นการเปลี่ยนระบบมาเป็น Proof of Stake ที่ไม่ต้องมีทุนเรื่องของเครื่องขุดเข้ามา ก็จะมีแนวโน้มของการเทขายที่ลดลงอย่างมาก ประกอบกับจำนวนเหรียญที่แจกจ่ายให้กับผู้ตรวจสอบธุรกรรมที่ลดลง จากปัจจุบัน Proof of Work ผู้ขุดจะได้รับเหรียญ ETH ที่ออกใหม่มาประมาณ 4.9 ล้าน ETH/ปี หรือ 13,000 ETH/วัน การมาของ The Merge จะทำให้สิทธิผู้ตรวจสอบเป็น Staker แทนนักขุด ซึ่งจะได้รับเหรียญ ETH ประมาณ 450,000 ETH/ปี หรือ 3,000 ETH/วัน และการ Staking หลังการอัพเกรดทันที Staker จะได้รับผลตอบแทน (Yield) เพิ่มขึ้นอีก 12% ฉะนั้นเมื่อ Supply ของเหรียญ ETH ลดลง แต่ Demand ดันเพิ่มขึ้นจากความจูงใจของการ Staking หลังเกิดการอัพเกรดของ The Merge ก็ตรงเป้ากับหลักอุปสงค์อุปทาน ที่อนาคตของเหรียญ ETH อาจมีมูลค่าขึ้นสูงอย่างรุนแรงได้
 
 Ethereum Core พูดถึงวันเปิดตัว The Merge จากทวิตเตอร์ของ @benjicohen421
 
โดยล่าสุดนี้เอง นักพัฒนา Ethereum Core ได้กล่าวในการประชุมของงาน Permissionless ที่มีขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้ว่า การอัพเกรด The Merge คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ซึ่งเราก็ต้องตามดูการประกาศจากทาง Ethereum อย่างใกล้ชิดกันต่อไป ว่าการอัพเกรดจะเป็นไปตาม Roadmap ที่วางเอาไว้หรือไม่ และจากการประกาศล่าสุดนี้ ก็อาจจะเป็นสัญญาณให้กับนักลงทุนในการเข้าสะสมเหรียญ ETH ที่กำลังอยู่ในช่วง On Sale ก่อนที่ Demand จะทะยานขึ้นสูงก็เป็นได้

LastUpdate 21/05/2565 23:15:53 โดย : Admin
23-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (23 เม.ย.67) บวก 11.57 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.09 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 2,260 เหรียญ และแนวต้านอยู่ที่ 2,330 เหรียญ

3. ทองนิวยอร์ก ปิดเมื่อคืน (22 เม.ย.67) ร่วง 67.40 เหรียญ แห่เทขายทอง หลังคลายกังวลความตึงเครียดอิหร่าน - อิสราเอล

4. ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (22 เม.ย.67) บวก 253.58 จุด รับแรงช้อนซื้อหลังหุ้นตกหนัก -จับตาผลประกอบการบริษัทเทคฯรายใหญ่

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.90-37.15 บาท/ดอลลาร์

6. ทองเปิดตลาด (23 เม.ย. 67) ร่วงแรง 850 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 41,050 บาท

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (23 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์

8. ประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 20-30% กรุงเทพปริมณฑลและภาคอื่นๆ ฝน 10% / อุตุฯเตือน 24-25 เม.ย.มีพายุฤดูร้อน

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (23 เม.ย.67) บวก 5.89 จุดดัชนีอยู่ที่ 1,355.41 จุด

10. พรุ่งนี้ น้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ทุกชนิด และพรีเมี่ยม GSH95 ลดลง 0.40 บาทต่อลิตร

11. ตลาดหุ้นปิด (22 เม.ย.67) บวก 17.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,349.52 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (22 เม.ย.67) บวก 15.02 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,347.10 จุด

13. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 2,365 เหรียญ และแนวต้านอยู่ที่ระดับ 2,395 เหรียญ

14. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.80-37.05 บาท/ดอลลาร์

15. ประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด และมีฝนฟ้าคะนองในภาคใต้ ฝั่ง ตต. 30% ภาคใต้ ฝั่ง ตอ.-ภาคตะวันออก 20% ภาคอื่นๆ 10% เว้นกรุงเทพปริมณฑล ไม่มีฝน

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 23, 2024, 3:19 pm