หุ้นทอง
"ไพบูลย์"แนะจับตาเสถียรภาพการเมืองหลังจากนี้ชี้หุ้นไทยยังน่าลงทุน


"ไพบูลย์"แนะนักลงทุนจับตาเสถียรภาพการเมืองไทย หลังพรรคแกนนำสองฝ่ายคะแนนใกล้กันมาก ชี้หุ้นไทยยังลงทุนได้ ราคาน่าสนใจ เงินทุนต่างประเทศจ่อไหลเข้าหากประเทศเดินหน้า


นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดเปิดเผยในระหว่างร่วมรายการ “LIVE with Guru เจาะลึกกับผู้รู้เรื่องการลงทุน”ในเพจเฟซบุ๊ก TISCO Mastery ว่ายอมรับว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาไม่เป็นไปตามคาดเพราะเดิมคาดว่าพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงทิ้งห่างพรรคอื่นๆค่อนข้างมาก แต่ผลที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการ พรรคพลังประชารัฐได้จำนวน ส.ส.น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยเพียงเล็กน้อยและยังได้คะแนนเสียงรวมสูงที่สุดและต่อมาคือพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงที่ต่ำมาก ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ส่งผลต่อภาพรวมการลงทุน เพราะขณะนี้คะแนนเสียงที่พรรคพลังประชารัฐได้มีจำนวนมากพอที่จะมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมได้เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นทางเลือกที่สามอย่างที่เคยคาดไว้

ดังนั้นผลการเลือกตั้งที่ออกมาจึงทำให้ภาพชัดเจนขึ้น นั่นก็คือเหลือเพียง 2 ขั้วการเมืองที่มีโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแต่ที่อาจจะยังสร้างความกังวลให้ตลาด คือทั้งสองพรรคใหญ่มีคะแนนเสียงที่ใกล้กันมาก แม้พรรคพลังประชารัฐจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่มีเสียงเกินครึ่งเพียงเล็กน้อยก็มีความเสี่ยงในเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในเรื่องนโยบายของแต่ละพรรค พบว่านโยบายมีความใกล้เคียงกัน ซึ่งนโยบายส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน รวมไปถึงการเดินหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นเมื่อมองภาพใหญ่แล้วไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็ไม่น่ามีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจให้ปรับเพิ่มขึ้นแรงมาก หรือตกต่ำมาก แต่อย่างใด อีกทั้งเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดที่ 70%ของจีดีพี อิงกับภาคต่างประเทศ คือการท่องเที่ยวและการส่งออก ดังนั้นไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศในปีนี้เศรษฐกิจไทยก็ไม่น่าจะขยายตัวเกิน 4%

โดยทิสโก้คาดว่าปี2562เศรษฐกิจไทยจะเติบโต3.5%ปรับลดลงจากคาดการณ์เดิม เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่ภาคการส่งออกไม่ได้เติบโตมากนัก เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยวเติบโตไม่มากนักเช่นกัน เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีน เหลือแต่เศรษฐกิจในประเทศหากรัฐบาลเข้ามาสร้างความมั่นใจได้ทันทีจะทำให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศฟื้นได้ ต่างจากปี2561ที่เศรษฐกิจไทยเติบโตดีที่สุดอีกปีหนึ่ง เนื่องจากกลจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกตัวทำงานได้ดีทั้งหมด

แต่ข้อดีสำหรับปีถัดไป คือ ธนาคารกลางต่างๆของโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษและจีนออกมาให้ความเห็นเหมือนกันทั้งหมดว่าเริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากมีความจำเป็น น่าจะสร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ในปีหน้า ส่วนไทยขึ้นอยู่กับรัฐบาลของไทยในการบริหารประเทศให้มีเสถียรภาพ เดินหน้าโครงการต่างๆซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยไปต่อได้อีก

“สำคัญที่สุดอยู่ที่เสถียรภาพของรัฐบาล เพราะ5ปีที่ผ่านมารัฐบาลมีเอกภาพมาก เนื่องจากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวและไม่มีฝ่ายค้านแต่4 ปีจากนี้จะไม่ง่ายเหมือนเดิม โดยเฉพาะหากฝ่ายค้านมีเสียงจำนวนมาก แม้ว่าจะมีเสียงน้อยกว่ารัฐบาล แต่ถ้าน้อยกว่าไม่มากนักรัฐบาลก็อาจจะผลักดันโยบายสำคัญๆได้ไม่ง่ายนัก”นายไพบูลย์กล่าว

สำหรับการเมืองไทยในขณะนี้ต้องจับตาดูว่าพรรคใดจะได้จัดตั้งรัฐบาล หากเป็นพรรคพลังประชารัฐจริงก็จะมีข้อดี คือจะมีความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายและพรรคอันดับที่ 2 ที่จะมาร่วมรัฐบาลด้วยนั้นมีเสียงค่อนข้างทิ้งห่างพอสมควร ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐน่าจะมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ส่วนพรรคอื่นก็อาจได้รับมอบหมายดูแลประเทศด้านอื่นไป อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ยังต้องติดตามเรื่องความวุ่นวายและเสถียรภาพของประเทศว่าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้อย่างมีเสถียรภาพหรือไม่

นายไพบูลย์กล่าวอีกว่าสำหรับมุมมองนักลงทุนต่างชาตินั้นจากเดิมที่กล่าวไว้ว่าหากการเลือกตั้งสงบเรียบร้อย มีเสถียรภาพ เงินต่างชาติน่าจะไหลเข้า 1 แสนล้านบาท ซึ่งคำว่าเสถียรภาพที่กล่าวไว้คือรัฐบาลต้องมีเสียงเกิน 300 ที่นั่งขึ้นไป เพราะเป็นที่นั่งที่เกินครึ่งมาพอสมควร และฝ่ายค้านก็จะห่างจากครึ่งไปพอสมควร หากจำนวนที่นั่งใกล้กันมากอาจเริ่มมีปัญหาเรื่องเสถียรภาพ เพราะต้องกังวลเรื่องการวอล์คเอ้าท์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาลหรือองค์ประชุมไม่พอ

“นักลงทุนต่างประเทศไม่ค่อยสนใจว่ารัฐบาลจะมาจากพรรคไหนแต่จะให้ความสำคัญกับ 1. รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ 2. นโยบายเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร รัฐมนตรีเศรษฐกิจมีคุณภาพขนาดไหน 3. ความต่อเนื่องของนโยบายขนาดใหญ่ เช่น อีอีซี ถ้าตอบโจทย์ในเชิงบวกได้ทั้งหมด เงินทุนต่างชาติก็จะไหลเข้าอย่างเต็มที่ อีกทั้งปัจจุบันอัตราการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำด้วย” นายไพบูลย์กล่าว

สำหรับการลงทุนในหุ้นไทยจากนี้นั้น ประเมินว่าหุ้นไทยยังลงทุนได้เนื่องจากราคายังไม่แพง และมองว่าหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะเศรษฐกิจยังโตต่อได้และแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคเอกชน โครงการขนาดใหญ่ของรัฐยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่จะได้อานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนดัชนีหุ้นไทยปี 2562 ประเมินไว้ที่ 1,750 -1,800 จุด นอกจากนี้ยังมองว่าหุ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มหายไป เพราะธนาคารกลางต่างๆเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวได้

“ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณที่หุ้นจะลงเยอะๆแต่ก็ยังต้องจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งจากการติดตามและประเมินแล้วคาดว่าจะจบลงด้วยดี อีกเรื่องคือ อังกฤษออกจากยุโรป

แต่เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของอังกฤษเท่านั้นสำหรับประเทศไทยก็ต้องรอดูฟอร์มทีมรัฐบาลให้เรียบร้อยก่อน ส่วนตัวยังยืนยันว่าตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นมากกว่าฟุบและยังลงทุนได้” นายไพบูลย์กล่าว

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 มี.ค. 2562 เวลา : 21:56:48
25-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (25 เม.ย.67) บวก 3.17 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,364.27 จุด

2. ประกาศ กปน.: 29 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนบ้านบางไผ่-บ้านหนองเพรางาย

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 เม.ย.67) บวก 1.72 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,362.82 จุด

4. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบเช่นเดิมระหว่าง 2,290-2,330 เหรียญ

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ลบ 42.77 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด บดบังผลประกอบการ บจ.แกร่ง

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 เม.ย.67) ร่วง 3.70 เหรียญ นักลงทุนคลายกังวลความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

7. ประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด และมีฝนฟ้าคะนองในภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่งตต. 20% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 10%

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 37.00-37.25 บาท/ดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาด (25 เม.ย. 67) ปรับขึ้น 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 41,300 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนึ้ (25 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.08 บาทต่อดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 เม.ย.67) ลบ 2.13 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,358.97 จุด

12. ตลาดหุ้นปิด (24 เม.ย.67) บวก 3.64 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.10 จุด

13. ประกาศ กปน.: 27 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำสำโรง

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (24 เม.ย.67) บวก 3.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,360.90 จุด

15. MTS Gold คาดว่าจะมีกรอบแนวรับที่ 2,260 เหรียญ และแนวต้านที่ 2,335 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 6:45 pm