เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
กรุงศรีวิเคราะห์ประจำสัปดาห์ "เศรษฐกิจโลกความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยลดลง แต่ประเทศแกนหลักยังอยู่ในภาวะ Landing ท่ามกลางดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบหลายปี"


 
สหรัฐฯ
การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนแอแม้เครื่องชี้ต่างๆปรับดีขึ้นบ้าง คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในสัปดาห์นี้ ดัชนี PMI เบื้องต้นทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับ 46.8 และ 46.0 ในเดือนมกราคม จาก 46.2 และ 44.7 ในเดือนธันวาคม ตามลำดับ แม้ตัวเลขดีกว่าที่ตลาดคาดแต่ยังต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัว ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 64.9 จาก 59.7 ในเดือนธันวาคม เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วน GDP ในไตรมาส 4 ออกมาดีเกินคาดที่ 2.9% และทั้งปี 2565 โต 2.1%

วิจัยกรุงศรีประเมินว่าแม้ตัวเลขเศรษฐกิจปรับดีขึ้นบ้างแต่เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 มกราคม -1 กุมภาพันธ์ จากที่ปรับขึ้น 0.50% ในเดือนธันวาคม เนื่องจาก (i) เงินเฟ้อมีสัญญาณชะลอตัว ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในช่วง 1 ปีข้างหน้าลดลงสู่ 3.9% ในเดือนมกราคม ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 และ (ii) การเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยดัชนี PMI เบื้องต้นบ่งชี้การหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านการบริโภคลดลง 0.3% ในเดือนธันวาคม ส่วนองค์ประกอบของ GDP ที่ไม่รวมสินค้าคงคลังและการค้าระหว่างประเทศ พบว่าการเติบโตของอุปสงค์ในประเทศชะลอลงแรงเหลือ 0.2% ในไตรมาส 4 จาก 1.1% ในไตรมาส 3 ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงสุดในรอบ 15 ปี จะปรากฎชัดขึ้นในปีนี้

 
ยูโรโซน
โอกาสเกิดภาวะถดถอยในยูโรโซนลดลง แต่เศรษฐกิจมีแนวโน้มโตต่ำกว่าศักยภาพในระยะยาว ในเดือนมกราคม ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมของยูโรโซนเพิ่มขึ้นสู่ 50.2 พลิกกลับมาอยู่ในโซนขยายตัว (มากกว่า 50) ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยการฟื้นตัวทั้งในส่วนของกิจกรรมการผลิตและบริการ สอดคล้องกับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ยังคงปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และกลับมายืนเหนือเส้นศูนย์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจยูโรโซนที่เป็นบวกมากขึ้นและอาจหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการผ่อนคลายของ 3 ปัญหาหลัก ได้แก่ ภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน แรงกดดันฝั่งต้นทุน รวมถึงวิกฤติพลังงานของภูมิภาค จะเป็นปัจจัยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของกลุ่มประเทศยูโรโซนต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากแผนการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานของภูมิภาคอาจนำไปสู่การเพิ่มสูงขึ้นของค่าเฉลี่ยต้นทุนราคาพลังงานในระยะยาว ขณะที่ผลจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะเริ่มส่งผ่านผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งจะเป็นตัวบั่นทอนการเติบโตของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงอาจส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรโซนหลังจากนี้มีแนวโน้มโตต่ำกว่าศักยภาพ
 
 
 
จืน
การผลิตสินค้าและบริการมีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคม โดยคาดว่าจะกระเตื้องขึ้นใน Q1 และจะปรับตัวดีขึ้นชัดเจนใน Q2 จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้การดำเนินธุรกิจในเดือนธันวาคมชะลอตัวลง โดย PMI ด้านการจ้างงานในภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตในเดือนธันวาคมหดตัวลงไปอยู่ที่ 41.6 และ 42.9 ในขณะที่ PMI ด้านการผลิตสินค้าและบริการในภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตลดลงไปที่ 44.6 และ 44.8 อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดของการล็อคดาวน์ในเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการชะงักงันของการผลิตสินค้าและบริการในจีนอาจยังมีอยู่บ้างในไตรมาสแรก แต่จะไม่ส่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกมากนัก เนื่องจากระดับสินค้าคงคลังของจีนยังอยู่ในระดับสูง (Days sales of inventory อยู่ที่กว่า 20 วัน) และค่าระวางสินค้าเฉลี่ยทั่วโลกยังลดลงอย่างต่อเนื่องหลังการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ทั้งนี้ สถานการณ์ด้านการผลิตมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 2 หลังการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดผ่อนคลายมากขึ้น

และแรงงานสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังห่วงโซ่อุปทานโลกเช่นเดียวกันนอกจากนี้ ภาวะตึงตัวด้านอุปทาน (supply disruption) ที่ผ่อนคลายลง คาดว่าจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาวะเงินเฟ้อของโลกได้ในระดับหนึ่ง

 
เศรษฐกิจไทย

การส่งออกในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตเพียงเล็กน้อยจากเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ขณะที่วิจัยกรุงศรีคาดกนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.75% ในสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้

มูลค่าส่งออกเดือนธันวาคมหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ตามการชะลอตัวของอุปสงค์โลก กระทรวงพาณิชย์รายงานเดือนธันวาคม 2565 มีมูลค่าส่งออก 21.7 พันล้านดอลลาร์ หดตัว 14.6% YoY และหากหักสินเค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำหดตัวที่ 12.5% โดยการส่งออกหดตัวในหลายสินค้าอุตสาหกรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์เคมี (-35.3%) เม็ดพลาสติก (-32.1%) เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (-24.2%) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-17.1%) ส่วนสินค้าเกษตรที่หดตัว อาทิ ยางพารา (-47.7%) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (-12.4%) และข้าว (-4.1%) ด้านตลาดส่งออกพบว่าหดตัวในทุกตลาดหลัก นำโดยอาเซียน 5 (-24.2%) จีน (-20.8%) ญี่ปุ่น (-13.7%) สหภาพยุโรป (-4.9%) และสหรัฐ (-3.9%) สำหรับการส่งออกทั้งปี 2565 มีมูลค่ารวม 287.1 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.5% เทียบกับปี 2564 ที่มูลค่า 272.0 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.4%

สัญญาณการส่งออกของไทยอ่อนแอลงตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนจากการชะลอตัวของอุปสงค์ทั่วโลก ตามความวิตกกังวลเศรษฐกิจถดถอย หลังประเทศคู่ค้าสำคัญมีการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง และยังมีแนวโน้มอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในปีนี้ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายในการบริโภคและการลงทุนยิ่งซบเซา ขณะที่เครื่องชี้กิจกรรมภาคการผลิตของโลกสะท้อนถึงความอ่อนแอเนื่องจากยังอยู่ในแดนหดตัว นำโดย สหรัฐ และยูโรโซน นอกจากนี้ ภาคส่งออกยังเผชิญกับปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นข้อจำกัดในการขยายตัว อาทิ เงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าการส่งออกของไทยในปี 2566 อาจเติบโตจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย โดยคาดว่าจะขยายตัวราว 0.5% เนื่องจากยังพอมีปัจจัยบวกจาก (i) ทั่วโลกยังมีความต้องการสินค้าในกลุ่มสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร (ii) การเปิดประเทศของจีนอาจหนุนการส่งออกสินค้าไทยในบางรายการปรับดีขึ้น อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง นอกจากนี้ ภาคการผลิตของจีนที่ทยอยกลับมาดำเนินการตามปกติคาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาคอขวดอุปทาน ซึ่งจะช่วยหนุนการผลิตและการส่งออกในกลุ่มที่เกี่ยวโยงกับสินค้าขั้นกลางจากจีน

 
กนง.ส่งสัญญาณดอกเบี้ยยังอยู่ในช่วงขาขึ้น จากความกังวลเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 มกราคม มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.50% โดยประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนซึ่งได้รับแรงส่งต่อเนื่องจากการเปิดประเทศและการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอลงในปีนี้ แต่จะฟื้นตัวในปี 2567 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในปี 2566 ก่อนจะปรับดีขึ้นในปีหน้า ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง โดยแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานทยอยคลี่คลายตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูงและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

วิจัยกรุงศรีคาดกนง. จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมครั้งหน้าสู่ระดับ 1.75% ภายในสิ้นไตรมาส 1/2566 และจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตลอดช่วงที่เหลือของปี 2566 เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1 -3% ได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ผลจาก (i) ฐานที่สูงในปีก่อน ซึ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นจากผลกระทบของสงครามยูเครนตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 (ii) ภาวะการชะงักของภาคการผลิตโลกที่ผ่อนคลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ภาคการผลิตของจีนกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง และ (iii) แม้กนง. จะมีความกังวลมากขึ้นกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน แต่ยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบางและไม่ทั่วถึงจากผลกระทบของการส่งออกที่หดตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกอปรกับเงินบาทที่แข็งค่าเร็วสุดในภูมิภาค และภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น ทั้งนี้ ยังไม่ปิดโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจขยับขึ้นสูงกว่า 1.75% ได้ในปีนี้ หากการใช้จ่ายด้านสินค้าและบริการของจีนเร่งตัวเกินคาด ส่งผลบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและไทย จนอาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
 

 


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 31 ม.ค. 2566 เวลา : 15:15:56
24-04-2024
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 25 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนกาญจนาภิเษก (ด้านตะวันตก)

2. ประกาศ กปน.: 25 เม.ย. 67 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนประชาร่วมใจ

3. ตลาดหุ้นปิด (23 เม.ย.67) บวก 7.94 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,357.46 จุด

4. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (23 เม.ย.67) บวก 11.57 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,361.09 จุด

5. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับอยู่ที่ 2,260 เหรียญ และแนวต้านอยู่ที่ 2,330 เหรียญ

6. ทองนิวยอร์ก ปิดเมื่อคืน (22 เม.ย.67) ร่วง 67.40 เหรียญ แห่เทขายทอง หลังคลายกังวลความตึงเครียดอิหร่าน - อิสราเอล

7. ดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อคืน (22 เม.ย.67) บวก 253.58 จุด รับแรงช้อนซื้อหลังหุ้นตกหนัก -จับตาผลประกอบการบริษัทเทคฯรายใหญ่

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 36.90-37.15 บาท/ดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาด (23 เม.ย. 67) ร่วงแรง 850 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 41,050 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (23 เม.ย.67) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 37.06 บาทต่อดอลลาร์

11. ประเทศไทยอากาศร้อนถึงร้อนจัด ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 20-30% กรุงเทพปริมณฑลและภาคอื่นๆ ฝน 10% / อุตุฯเตือน 24-25 เม.ย.มีพายุฤดูร้อน

12. ตลาดหุ้นไทยเปิด (23 เม.ย.67) บวก 5.89 จุดดัชนีอยู่ที่ 1,355.41 จุด

13. พรุ่งนี้ น้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ทุกชนิด และพรีเมี่ยม GSH95 ลดลง 0.40 บาทต่อลิตร

14. ตลาดหุ้นปิด (22 เม.ย.67) บวก 17.44 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,349.52 จุด

15. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (22 เม.ย.67) บวก 15.02 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,347.10 จุด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 24, 2024, 6:20 am