นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel กรณีคลิปเสียง

ที่อ้างว่าเหมือนเสียง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหมว่า “รู้สึกทอล์คอันนี้จะดังกว่าของผมแล้ว”ผมได้ฟังบางส่วน แล้วก็ได้อ่านที่เขาถอดเทปมา

ผมก็ยังอยากจะฟังคำชี้แจงจากผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน เพราะว่าปฏิกิริยาแรกนั้นก็คือ ท่านรัฐมนตรีช่วยกลาโหม ท่านบอกว่าไม่ใช่ ไม่มี อะไรทำนองนั้นนะครับ เสร็จแล้วก็โฆษกพรรคเพื่อไทยบอกตัดต่อ ตกลงไม่มีหรือตัดต่อ ถ้าตัดต่อก็แปลว่ามี ตัดต่อนี่ก็เหมือนกับยอมรับว่าเป็นเสียงของ 2 คนนี้จริง ถูกมั้ยครับ แต่เอามาตัดต่อ

 
เมื่อถามว่า ตอนที่โฆษกพรรคเพื่อไทยบอกว่าตัดต่อนั้น มีการยกกรณีว่า เหมือนกรณีคุณอภิสิทธิ์เมื่อปี 53 ซึ่งก็เท่ากับว่ากรณีนั้นเป็นการตัดต่อจริง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ไอ้ของเขานั้นมันตัดต่อชัดเจนนะครับ แล้วตอนที่เขาออก ผมก็บอกว่าเสียงผม ผมไม่เคยบอกว่าไม่ใช่เสียงผมนะ ผมบอกเสียงผมแล้วผมยังอธิบายได้เลยว่า ไอ้เสียงผมนั้นคุณไปเอามาจากรายการไหน มาตัดต่อแล้วก็ทำให้คนเข้าใจผิด แล้วเสื้อแดงยังเปิดอยู่เลยนะ ตัดต่อนี่แปลก พรรคเพื่อไทยก็ไม่อายนะที่จะพูดอย่างนี้

แต่ว่ากรณีนี้ตกลงตัดต่อ หรือไม่ใช่ ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ แต่ถามว่า เรื่องที่พูดนั้น เอาเรื่องที่พูดก่อนนะครับ ยังไม่ต้องลงลึกรายละเอียด 3 เรื่องนี้ เข้าเค้าเกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งสองมั้ย

1. เรื่องอะไรครับ โยกย้ายแต่งตั้งทหาร ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก่อนหน้านี้อยู่แล้วว่า การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้โดยความมุ่งหมายที่จะให้มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมนี้ เป็นไปเพื่อหวังผลในการเข้ามาโยกย้ายแต่งตั้ง ถูกมั้ยครับ

เรื่องที่ 2 เอาคนอีกคนนึงกลับบ้าน ใช่มั้ยครับ ก็พูดถึงเรื่องกฎหมาย จะนิรโทษกรรม พรบ. พรก. ก็เป็นประเด็นอยู่แล้ว

เรื่องที่ 3 ธุรกิจในพม่า ก็เป็นที่ทราบกันอยู่ว่า รัฐบาลนี้เข้าไปสนับสนุนโครงการทวายต่อเนื่องจากรัฐบาลที่แล้ว แต่เปลี่ยนแปลงก็คือว่า ไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนที่ดูเหมือนว่า คนข้างใน คนหรือเกี่ยวข้องกับรัฐบาลสนใจจะทำธุรกิจตรงนั้นอยู่

คือ 3 เรื่อง แหมมันเหมาะเจาะว่า มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้าของเสียง อายุ อานามในคลิปก็พอดีเลยครับ เพราะฉะนั้นมันก็คิดเป็นอื่นได้ยากนะครับ ก็ถ้าจะปฏิเสธกันก็ต้องอธิบายว่า ตกลงใช่เสียงหรือไม่ใช่ ถ้าใช่แล้วบอกตัดต่อ ของจริงพูดว่าอะไร ตัดต่อนี่แปลว่าเอาบางส่วนออกไปใช่มั้ย ไปเอาตรงนั้นมาเชื่อมตรงนี้ แต่สิ่งที่พูดนี้ของจริงหรือเปล่า เพราะบางประโยคนี่ผมก็ดูแล้ว มันก็ไม่ได้ตัดต่อหรอกครับ ความจริงถ้าจะพิสูจน์ก็ได้นะครับ สมัยผมนั้นยังเอานิติวิทยาศาสตร์มาดูคลื่นเสียงกันเลยครับว่า มีการตัดต่อมั้ย ก็พิสูจน์กันได้

ทีนี้ประเด็นก็คือว่า สิ่งที่พูดนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่ากลัวอย่างไร น่ากลัวก็คือว่า แสดงให้เห็นถึงความพยายามนะครับ ถ้ามีจริง ในการที่จะใช้อำนาจทางการเมือง ตอบสนองโจทย์ของตัวเอง โจทย์ของตัวเองก็มีทั้งเรื่องการพ้นผิดจากกฎหมาย จากเรื่องธุรกิจ แล้วก็พยายามที่จะเข้ามายึดครองกลไกต่างๆ แม้กระทั่งทางด้านความมั่นคง และกองทัพ แล้วก็มีการพูดถึง ผมคิดว่ามีการพูดถึงองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงครับว่า ถ้ามีคนที่พูดจากันอย่างนี้จริง ก็แสดงให้เห็นละครับว่า ยังมีคนพยายามที่จะเดินหน้า ใช้อำนาจต่างๆ ในทางที่ผิด แล้วก็จะไปสร้างเงื่อนไข ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองต่อไป”

“ผมก็พูดตั้งแต่ตอนปรับ ครม. นะครับว่า ผมไม่ได้มองเป็นอย่างอื่นเลยว่า ที่มีการไปควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้นเพื่อหวังจะให้มีรัฐมนตรีช่วย สร้างความชอบธรรมให้มีรัฐมนตรีช่วย แล้วก็เป้าหมายจริงๆ ก็อยู่ที่การโยกย้ายแต่งตั้ง ซึ่งต่อมาก็ออกมาปฏิเสธกัน

แต่ผมคิดว่าถ้าคลิปเมื่อวานที่ออกมานั้น มันเป็นไปตามนั้น ก็พิสูจน์ตรงเป๊ะ เหมือนกับที่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับ แต่หลายๆ คนเขาวิเคราะห์กัน แล้วก็สิ่งสำคัญก็คือ มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าทั้งๆ ที่เราอุตส่าห์ไปมีกฎหมายที่พยายามที่จะให้หน่วยงานอย่างนี้ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำในทางการเมือง ในเชิงของการโยกย้ายแต่งตั้งไม่เหมาะสม แต่ความพยายามตรงนี้ก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง”

ประเด็นที่ 2 เรื่องของการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน “จริงๆ เขาพูดถึงสภาความมั่นคงด้วยนะครับ ซึ่งผมว่าอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ คือถ้าเกิดเอาตามที่คนพูด รู้สึกว่าเล่ห์เหลี่ยมเยอะมากนะครับ คือมีการบอก แหม ลับลวงพรางใช่ครับ ทำเป็น พรบ. ก่อน แล้วเดี๋ยวก็ให้เขาเสนอมาเป็น พรก. อะไรทำนองนั้น น่าเป็นห่วงจริงๆ ครับว่า พูดง่ายๆ ก็คือว่า เตรียมการอย่างเป็นจริงเป็นจังในการที่จะหาทางนิรโทษกรรม ล้างผิดให้กับตนเอง”

“ผมคิดว่าหลายคำพูด ไม่เหมาะสมเลยครับที่จะพูด โดยเฉพาะคำพูดที่บอกว่าไม่ต้องเป็นองคมนตรีก็ได้ คือทุกคนก็ทราบนะครับว่าการแต่งตั้ง แต่การให้พ้นจากตำแหน่งองคมนตรีนั้นเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะครับ”

 
ประเด็นที่ 3 ที่เกี่ยวข้องกับโครงการทวาย “คือถ้าเป็นเรื่องธุรกิจนั้น ผมก็อยากจะเตือนความจำนิดนึงนะครับว่า ไอ้ปัญหาการทำธุรกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าคิดไปแล้วก็ไปเอาประโยชน์จากเขาอย่างเดียวนั้น สุดท้ายมันไม่ได้ไปช่วยเสริมความสัมพันธ์นะครับ มันกระทบความสัมพันธ์ จำได้มั้ยครับว่า สถานทูตไทยในกัมพูชานั้นเคยถูกเผา นั่นก็มีเงื่อนปมมาจากเรื่องของธุรกิจ

แล้วจำได้มั้ยครับว่ากรณีของพม่าเอง เคยมีการทำธุรกิจร่วมกันระหว่างลูกของผู้นำ 2 ประเทศ แล้วสุดท้ายก็มีความผิดทั้งคู่นั่นแหละครับ”

 
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีควรชี้แจงเรื่องนี้หรือไม่  ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหม

“ผมคิดว่าวันนี้คงจะต้องรอฟังท่าทีของรัฐมนตรียุทธศักดิ์ก่อนว่าเป็นอย่างไร แต่ว่าผมว่าในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็ไม่ควรจะนิ่งนอนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี่แหละครับ ต้องค้นหาความจริงออกมาก่อนว่า ตกลงมันเป็นคลิปเสียงจริงๆ หรือเปล่าของ 2 คนนี้ พิสูจน์กันอย่างไร

แล้วจะยืนยันกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างไรครับว่า ตามคลิปเสียงนี้ ที่ทำให้เกิดความกังวลกันว่า กำลังจะมีเรื่องไม่ถูกไม่ต้องทั้งหลายเกิดขึ้น มันจะไม่เกิดขึ้น ก็มายืนยันสิครับ ถ้าบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องไร้สาระเลย รัฐบาลยืนยันเลยมั้ยล่ะว่า ไม่มีไอ้กระบวนการตามคลิปเสียงที่ว่านี้ จะไม่มีการเสนอกฎหมายที่มาลับลวงพรางว่าเป็น พรบ. แล้วจะกลายเป็น พรก. เกี่ยวกับการพาคุณทักษิณกลับบ้าน จะไม่มีการพยายามเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ อันนี้ก็เป็นหน้าที่นายกฯ ละครับที่จะต้องมาชี้แจงให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่า มันไม่มีเรื่องราวทั้งหลายที่ปรากฎอยู่ในคลิป”