ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
EICชี้ไทยลงทุนรถไฟไทย-จีน100%กระทบกรอบวินัยทางการคลัง


 


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ หรืออีไอซี(EIC) ออกบทวิเคราะห์ เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย หลังรัฐทุ่มลงทุนรถไฟไทย-จีนเต็มร้อย


Event เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เผยว่าได้ข้อยุติประเด็นการก่อสร้างรถไฟไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-แก่งคอย-นครราชสีมา-หนองคาย แล้ว โดยในหลักการ ไทยจะลงทุนดำเนินการเองทุกขั้นตอน โดยไม่มีการให้สัมปทานหรือร่วมลงทุนกับจีนตามเดิม และจะเริ่มสร้างรถไฟเส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา เป็นอันดับแรก แล้วจึงจะขยายไปยังช่วงอื่นต่อไปในอนาคต

 
 
 

Analysis โครงการรถไฟไทย-จีน มีโอกาสเกิดได้เร็วมากขึ้น ผู้ประกอบการไทยมีหวังได้รับอานิสงส์เพิ่มเติม ในช่วงที่ผ่านมา ไทยและจีนได้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟมาแล้วทั้งสิ้น 9 ครั้ง แต่การหารือของทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถหาข้อยุติได้จากประเด็นด้านเงินกู้ และสัดส่วนการลงทุนระหว่างไทย-จีน ทำให้โครงการล่าช้ากว่าเป้าหมายเดิมกว่า 1 ปี ดังนั้น การที่ไทยได้ข้อยุติว่าจะดำเนินการเองทั้งหมดในทุกขั้นตอน โดยไม่มีการให้สัมปทานหรือร่วมลงทุนกับจีนตามเดิม จึงทำให้โครงการดังกล่าวมีแนวโน้มเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2016 
 

ทั้งนี้ แม้ว่าจีนจะยังคงเป็นผู้ดำเนินโครงการก่อสร้างหลัก แต่จากการที่ไทยเป็นผู้ลงทุนเอง ส่งผลให้ไทยมีอิสระในการกำหนดเงื่อนไขการประมูลและการก่อสร้างได้เอง ซึ่งจะสร้างผลบวกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบการไทยตลอดทั้ง value chain โดยเฉพาะงานด้านโยธา และงานระบบไฟฟ้า ที่ไทยมีศักยภาพทัดเทียมกับผู้ประกอบการต่างชาติ ทั้งนี้ งานด้านโยธา และระบบเดินรถและขบวนรถไฟในช่วงแรก (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) มีมูลค่าถึง 7.4 และ 4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังไม่รวมถึงธุรกิจท้องถิ่นตามแนวรถไฟพาดผ่านที่จะได้รับอานิสงส์ตามมา 
 
 

Implication อีไอซีแนะจับตาหนี้สาธารณะต่อ GDP และแนวทางการระดมเงินทุนซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับสถาบันการเงินภายในประเทศ โครงการรถไฟไทย-จีนมีมูลค่ารวมทั้งโครงการกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งการที่ฝ่ายไทยจะลงทุนด้านการเงินทั้งหมด 100% อาจส่งผลกระทบต่อกรอบวินัยความยั่งยืนทางการคลัง โดยอีไอซีประเมินว่าเงินที่ไทยต้องลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งโครงการจะเพิ่มหนี้สาธารณะต่อ GDP ราว 1.5% และเมื่อผนวกกับโครงการเมกะโปรเจกต์อื่นๆ ของภาครัฐ อาจทำให้ยอดหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยมีค่าเกิน 50% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างน่ากังวล จึงทำให้การจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFF) เพื่อใช้เป็นช่องทางในการระดมทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยไม่กระทบกับหนี้สาธารณะยิ่งมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ดี เนื่องจากแผนการก่อสร้างใหม่จะทยอยก่อสร้างในบางเส้นทาง ต่างจากการก่อสร้างทุกเส้นทางในเวลาไล่เลี่ยกันเหมือนแผนการก่อนหน้า ทำให้ภาครัฐยังคงมีเวลาในการแสวงหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านเงินทุนของประเทศโดยที่ไม่กระทบวินัยทางการเงินการคลัง
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 24 มี.ค. 2559 เวลา : 18:38:46

19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 8:39 am