ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
หยิบเงินหยิบทอง - บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง


 


ตลาดหุ้นไทยวานนี้
          SET INDEX วานนี้ยังคงขยับขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มธนาคาร หลังมีโบรกเกอร์ต่างชาติปรับน้ำหนักขึ้นมาเป็น OW รวมถึงภาพตลาดหุ้นไทย ส่งผลให้ SET INDEX ทะลุ 1,450 จุด มาปิดที่ 1,454.56 จุด บวกอีก 9.57 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 54,032 ล้านบาท 
          เงินทุนต่างชาติยังคงหนาแน่น ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 3,404 ล้านบาท Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 3 อีก 5,894 สัญญา และซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 4 อีก 5,090 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญวันนี้
          วานนี้มีรายการ Big Lot หุ้น CPALL อีกวัน 2.0 พันล้านบาท อาจตีความว่าต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยราว 1.4 พันล้านบาท 
          ติดตามการประชุมครม. อาจมีการพิจารณาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจ
          กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียต่อเนื่อง และหนาแน่น
          ตลาดเริ่มกังวลต่อฐานทุนของธนาคารพาณิชย์ในอิตาลี หลังรัฐบาลเตรียมขอรับเงินช่วยเหลือจากอียู เพื่อใช้ในการเพิ่มทุนธนาคารพาณิชย์

มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 2)
          เรายังคงมีมุมมอง “ระมัดระวัง” ต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แม้ว่า SET INDEX ทะลุแนว 1,450 จุดวานนี้ไปแล้วก็ตาม แต่หากพิจารณา Upside Gain ก็เริ่มจำกัดมากยิ่งขึ้น ด่าน 1,470-1,480 จุด หรือเพียง 1.7% จากระดับปิดวานนี้ การเก็งกำไรบนโมเมนตัมเช่นนี้ SET INDEX ก็พร้อมที่จะปรับฐานลงทันที หากเกิดปัจจัยเชิงลบทางจิตวิทยาการลงทุนที่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ซึ่งหากพิจารณาปัจจัยทั้งในและต่างประเทศในระยะสัปดาห์ก็อยู่ที่ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ขณะที่กรณี Brexit กลายเป็นสิ่งที่ล่าสมัยไปแล้ว 
          ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เรายังคงยืนยันให้นักลงทุนจำกัดวงเงินในการเข้าเก็งกำไร พร้อมกำหนดแนว Cut Loss ทุกครั้งที่เข้าเก็งกำไร เพื่อปิดความเสี่ยง เพราะเราคาดว่า SET INDEX มีโอกาสปรับฐานลงสู่โซนปลอดภัยที่ 1,420-1,430 จุด 
          ประเมินกรอบแกว่งวันนี้ระหว่าง 1,440-1,460 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 5.5-6.0 หมื่นล้านบาท/วัน โดยหุ้นหลักในกลุ่ม Domestic Play ยังคงมีความเด่นต่อเนื่อง หลังกลุ่มธนาคารฟื้นตัวเด่นวานนี้ จับตากลุ่มค้าปลีก / กลุ่มอสังหาฯ / กลุ่มยานยนต์ 
          ปัจจัยสำคัญวันนี้ ติดตามการประชุม ครม.วันนี้ อาจมีความคืบหน้าต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอการพิจารณาจากครม.เพิ่มเติม 

Strategy of the Day          
          1. สะสม BBL : ราคาปิด 163.50 บาท ราคาเหมาะสม 178.00 บาท
          a) MBKET คงมุมมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร และเชื่อว่าจะ Outperform ตลาดได้ใน 2H59 ในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่รองรับการไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ
          b) คาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q59 เติบโต qoq สะท้อนให้เห็นถึงกำไรที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q59 โดย BBL จะมีการจัดประชุมนักวิเคราะห์เพื่อ Preview งบ 2Q59 ในวันพฤหัสนี้ 
          c) ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ที่ระดับ PBV2559 เพียง 0.81 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.5% จึงมี Downside Risk ที่จำกัด          
          2. เก็งกำไร CPALL : ราคาปิด 51.75 บาท ราคาเหมาะสม 55.00 บาท
          a) MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของภาคบริโภคในประเทศที่จะชัดเจนมากขึ้นใน 2H59 
          b) คาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q59 เติบโต +24% yoy เป็น 3.9 พันล้านบาท จาก SSSG ที่ขยายตัว +3% yoy เร่งตัวขึ้นจาก 1Q59 ที่ +2.6% yoy 
          c) ได้ประโยชน์โดยตรงจากการขยายตัวของตลาด E-Commerce โดยใช้จุดรับส่งสินค้าที่ 7-11 ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่และเพิ่งเข้าสู่ช่วงเริ่มต้น ดังนั้น จึงยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในระยะยาว และเป็นจุดแข็งของ CPALL เนื่องจากมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศและความสามารถในการบริหารระบบ Logistic ที่โดดเด่น

Fund Flow Analysis

Fund Flow in Emerging Markets
          ซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก US$486 ล้าน จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ US$748 ล้าน 
          โดยเป็นการซื้อสุทธิทุกตลาดต่อเนื่องเช่นกัน 

Foreign Investors Action วานนี้

กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงหนาแน่น
          นักลงทุนต่างชาติ คงการซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 3,404 ล้านบาท เราตั้งข้อสังเกตวานนี้มีรายการ Big Lot หุ้น CPALL เหมือนวันศุกร์ที่ผ่านมา อีก 2,000 ล้านบาท อาจตีความว่าต่างชาติซื้อสุทธิเพียง 1,404 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD ต่างชาติซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 39,915 ล้านบาท
          ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 5,894 สัญญา รวม 3 วันทำการ Long สุทธิ 20,071 สัญญา เราคาดว่าเป็นการทยอยเปิดสถานะ Long ต่อเนื่อง เมื่อ S50U16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index เท่ากับ 7.14 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 7.86 จุด ทำให้ยอดสุทธิ QTD เริ่มต้นด้วย Long สุทธิ 5,894 สัญญา 
และนักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 4 ชะลอตัวลงเหลือ 5,090 ล้านบาท รวม 4 วันทำการซื้อสุทธิ 49,551 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยฟื้นตัวเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ผ่านพันธบัตรไทย อายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 2.10bps จากวันก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 3.76bps ปิดที่ 1.995%

Short-Selling วานนี้ 
          ลดลงเป็น 855 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 912 ล้านบาท ทั้งนี้ SBL กระจุกตัวใน KBANK / SCB NVDR Movement

NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 กลับมาเน้นกลุ่มธนาคารเกือบครึ่ง
          การซื้อขายผ่าน NVDR ซื้อสุทธิหนาแน่นอีก 2,550 ล้านบาท สูงกว่าวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 2,363 ล้านบาท โดยเป็นการกลับมาเน้นกลุ่มธนาคารอย่างโดดเด่นกว่าครึ่ง 

ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ – การเงินรายภูมิภาค

สหรัฐอเมริกา
          ไม่มี

ยุโรป
          ยอดก่อสร้างอังกฤษหดตัวลงสวนทางกับที่ตลาดคาด: เดือนมิ.ย. PMI ภาคก่อสร้าง หดตัวเหลือ 46.0 จุด จากเดือนก่อนหน้าที่ 51.2 จุด และต่ำกว่า Bloomberg consensus คาดที่ 50.7 จุด เป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552 อันเป็นผลจากการลงประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.  
          ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อิตาลี โดน ECB ให้จัดทำแผนเพิ่มทุน: ธนาคาร Banca Monte dei Paschi di Siena SpA เป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับที่ 3 ของอิตาลี ถูก ECB ให้เสนอแผนการแก้ไขปัญหาด้านหนี้เสีย พร้อมให้ธนาคารลดหนี้สินเหลือ 1.46 หมื่นล้านยูโร ภายในปี 2561 จาก ณ ระดับสิ้นปี 2558 ที่ 2.42 หมื่นล้านยูโร
          S&P ปรับประมาณการเศรษฐกิจในอียูและอังกฤษลง หลัง Brexit: เศรษฐกิจในอียูจะได้รับผลกระทบจากกรณี Brexit ราว 0.8% ของ GDP ตลอดปี 2560 และ 2561 ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจอังกฤษมีมากถึง 1.2% และ 1.0% ในปี 2560-2561 ตามลำดับ จากแนวโน้มการลงทุนที่ชะลอตัวทั้งจากการลงทุนภายในประเทศ และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ทั้งนี้การประมาณการดังกล่าวอยู่ภายใต้สมมติฐานของ Single Market ในปี 2560-2561 และคาดการณ์ BoE จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.0% จากปัจจุบัน 0.5% ภายในปีนี้ และเริ่มใช้ QE ในปี 2560 
          IMF ประเมินเศรษฐกิจอังกฤษจะกระทบจาก Brexit ราว 1.5-4.5% ภายในปี 2562: ขึ้นอยู่กับสมมติฐานของผลกระทบจากการออกจากกลุ่มอียูจะมีผลต่อเศรษฐกิจอังกฤษราว 1.5-4.5% แต่ IMF ไม่มีแนวคิดว่าอังกฤษจะต้อใช้เวลานานเพียงใดในการเจรจาระหว่างอังกฤษ และอียู และผลของการเจรจาจะเป็นอย่างไร 

จีน          
          แผนลงทุน Belt and Road (B&R) เริ่มต้นแล้ว: ด้วยการร่วมมือมากกว่า 70 ประเทศ และองค์ระหว่างประเทศ ภายใต้โครงการ China’s Belt and Road หรือที่รู้จักในชื่อ “เส้นทางสายไหม” เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจจีนและยุโรป ผ่านเอเชียกลางและตะวันตก ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยจีนจะลงทุนทางตรงผ่าน 49 ประเทศ มูลค่า US$1.48 หมื่นล้าน ขณะที่ขนาดธุรกิจจะมีมูลค่ารวม US$9.26 หมื่นล้าน ภายใต้มูลค่าการค้ากับจีนที่มากกว่า US$1.0 ล้านล้าน หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของจีนในปี 2558 ล่าสุดผู้นำจีน Xi Jingping ได้ประกาศการเริ่มต้นโครงการวันที่ 22 มิ.ย. และเริ่มลงทุนในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้านี้ 

เอเชียแปซิฟิก
          รัสเซียส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง: การส่งออกช่วง 1H59 ของรัสเซียเฉลี่ย 5.5 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 4.95 yoy ขณะที่การผลิตน้ำมันของรัสเซียเพิ่มขึ้น 1.14% yoy เป็น 10.843 ล้านบาร์เรล/วัน ทั้งนี้การผลิตน้ำมันของรัสเซียเพิ่มขึ้นทุกเดือน นับตั้งแต่เดือนก.ค. 2557 หากกำลังการผลิตน้ำมันของรัสเซียคงที่เช่นนี้ จะทำให้การส่งออกน้ำมันของรัสเซียทำสถิติสูงสุดใหม่
          กลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย.: การผลิตเดือนมิ.ย. โดยไนจีเรีย เป็นผู้ผลิตเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 1.53 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ค. 90,000 บาร์เรล/วัน หลังซ่อมท่อส่งน้ำมันเสร็จ  ส่วนการผลิตของซาอุฯ เพิ่มขึ้นเช่นกัน 70,000 บาร์เรล/วัน เป็น 10.33 ล้านบาร์เรล/วัน ลิเบีย เพิ่มขึ้น 40,000 บาร์เรล เป็น 320,000 บาร์เรล/วัน แต่อิรัก กลับมีกำลังการผลิตที่ลดลง 70,000 บาร์เรล เป็น 4.3 ล้านบาร์เรล/วัน

ไทย
          BoI ชี้ปีนี้ลงทุนจริง 7 แสนล้านบาท: บีโอไอ เปิดเผยว่า แนวโน้มปี 2559 การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไอจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 450,000 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีแรก มีปริมาณการยื่นคำขอ 300,000 ล้านบาท ส่วนเม็ดเงินลงทุนจริงปีนี้จากโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้วก่อนหน้า คาดว่าจะมีวงเงิน 600,000-700,000 ล้านบาท จากไตรมาสแรกปี 59 มียอดลงทุนจริงแล้ว 100,000 ล้านบาท สำหรับภาพรวมนักลงทุนยื่นโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไอในช่วงครึ่งปีหลัง ปีนี้เชื่อมั่นว่าจะเป็นอัตราเร่งมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรกและต่อเนื่องถึงปี 2560 จากมาตรการ ส่งเสริมการลงทุนที่ทยอยออกมา โดยเฉพาะการเร่งขับเคลื่อนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (อีอีซี) รวมถึงการแก้ไขกฎหมายบีโอไอให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเดิมให้ 8 ปี เป็น 13 ปี และแทคอลาวัลหรือหักค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนสามารถนำมาหักกำไรเพื่อเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่ลดลง

 
โดย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ประจำวันที่ 5 ก.ค. 2559
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 05 ก.ค. 2559 เวลา : 10:24:23

19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 6:58 pm