ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
นายกฯนำแถลงผลงาน2 ปี -ภารกิจอีกปีเศษ'โรดแมประยะ3'ส่งไม้ต่อรัฐบาลชุดใหม่


 


วันนี้ (15ก.ย.59) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปี การดำเนินงานของรัฐบาล ดังนี้

สวัสดีครับ พี่น้องสื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนไทยที่รักทุกท่าน  วันนี้ผมมีความรู้สึกยินดีที่ได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องประชาชนที่อยู่ทางบ้านที่ติดตามชมทางโทรทัศน์ ที่น่ายินดีกว่านั้นคือการได้เห็นรอยยิ้มกลับคืนสู่ใบหน้าของคนไทย ที่เราเคยได้รับสมญานามว่า “สยามเมืองยิ้ม” แต่สิ่งนั้นห่างหายไปจากสังคมไทยมากว่า 10 ปี

ในส่วนของวันนี้สิ่งที่ผมต้องการคือการหากันให้เจอระหว่างรัฐบาล ข้าราชการ ประชาสังคม นักสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนทุกอาชีพ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายหากันให้เจอ ถ้าหากันไม่เจอก็จะเป็นอยู่แบบเดิม และไม่เข้าใจซึ่งกันและกันทำให้การทำงานก็จะยากขึ้นไปเรื่อย ๆ

อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ไม่ค่อยจะสงบสุข  สถานการณ์ในประเทศไทยไม่ค่อยสงบสุขนัก การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างเชื่องช้า เศรษฐกิจไม่ได้รับการปฏิรูปทั้งระบบ เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในสังคม  ประชาชนจำนวนมากมีรายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต สังคมมีความสับสนวุ่นวาย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กระทำได้จำกัด การวิจัย การพัฒนา ไม่สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์ไม่ต่อเนื่อง  ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะฉะนั้นประชาชนก็ไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม อันนี้คือปัญหาหลักของผู้มีรายได้น้อยด้วย

การที่ประเทศไม่มีแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวที่ชัดเจน ทำให้ประเทศขาดทิศทางในการพัฒนา  การบริหารราชการแผ่นดินให้ความสำคัญน้อยกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ผ่านมาทั้ง 11 แผน การดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศที่ขาดความสมดุล  รวมไปถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่ซ้ำซ้อน ไม่คุ้มค่า       ขาดความต่อเนื่อง ประชาชนได้รับประโยชน์น้อย ไม่ทั่วถึง การถือครองทรัพยากรตลอดจนความเจริญกระจุกอยู่เพียงบางพื้นที่ บางกลุ่ม บางพวก  ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งต้องประสบกับความยากจน ความไม่เท่าเทียม คนทำมากได้น้อย เหล่านี้นำไปสู่ปัญหาทางการเมืองที่รุนแรงขัดแย้ง สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของประเทศในสายตาชาวต่างชาติ รวมทั้งเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์  โดยที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อย่างเต็มที่เพื่อช่วยทุเลาสถานการณ์ได้อย่างจริงจัง  และที่สำคัญหลายภาคส่วนไม่ได้น้อมนำหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานมากว่า 40 ปี เป็นเข็มทิศนำทาง ทำให้ประเทศเผชิญกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งถือเป็นปัญหาร้ายแรงที่สุดของชาติ

ทุกประเด็นเหล่านี้คือปัญหาที่ทาบทับประเทศไทยมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศไทยจาเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศ ตามสิ่งท้าทายและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของโลกศตวรรษที่ 21 เราจำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศในทุกระบบ ให้ครบวงจร  เพื่อมิให้ประเทศไทยกลายเป็นชาติที่ไร้การพัฒนา และถูกทิ้งรั้งไว้เบื้องหลัง

จากที่ รัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้นให้หมดไป  รัฐบาลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยยึดโยงประชาชนเป็นศูนย์กลาง  ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง และยึดหลักธรรมาภิบาล สุจริตโปร่งใสเป็นสำคัญตลอดมา เพื่อเป้าหมายสำคัญในการวางรากฐานให้รัฐบาลในอนาคตได้บริหารประเทศอย่างมีธรรมาภิบาลภายใต้กฎกติกาที่เหมาะสมกับประเทศไทย และป้องกันอย่างที่สุดที่จะไม่ให้สภาพปัญหาแบบเดิมกลับมาเกิดขึ้นอีกในประเทศไทย ขอให้ทุกคนกลับไปทบทวนดูว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง จนได้เกิดความร่วมมือกับเราในวันนี้

การกำหนดแนวนโยบายทุกด้านของรัฐบาล อยู่บนหลักคิดที่จะต้องขจัดเงื่อนไขอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาในอดีต ต้องเสริมโอกาส สร้างความเข้มแข็งและดำรงความเสมอภาคเท่าเทียมในปัจจุบัน  รวมทั้งต้องนำไปสู่การวางรากฐานประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนในอนาคต

การกำหนด “แผนงาน” ในทุกนโยบายของรัฐบาล จึงประกอบด้วยมาตรการทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ในทุกมิติ  และในทุกองคาพยพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระบบตามหลัก “บูรณาการ” เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

การกำหนด “กิจกรรม-โครงการ” ในทุกแผนงานของรัฐบาล จึงมีทั้งกิจกรรมหลัก กิจกรรมรอง และกิจกรรมเสริม  โดยต้องกำหนดห้วงเวลาที่จะเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อสังคมโดยรวมอย่างชัดเจน

รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่สถานการณ์ ทั้งภายในประเทศ และภายนอกประเทศไม่สงบสุขนัก ในทุกมิติ  อาทิ ด้านความมั่นคง ภายในประเทศก็มีความแตกแยก บ้านเมืองวุ่นวาย แบ่งฝักฝ่าย  ภายนอกประเทศ ก็มีภัยจากการก่อการร้าย การรบพุ่งในหลายประเทศ

ด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การค้าการลงทุนซบเซา ขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ภาวะขาลง อัตราการเติบโตชะลอตัว  เศรษฐกิจของโลกในปี 2558 มีการขยายตัวในเกณฑ์ “ต่ำ” อย่างน่าใจหาย เพียงร้อยละ 3.0 ต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2559 ก็ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ต่ำเพียง ร้อยละ 3.1  รวมทั้งประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศยูโรโซน และประเทศจีนการขยายตัวก็ชะลอลง

ด้านสังคม ภายในประเทศเองมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกระจุกตัวของความมั่งคั่งและโอกาส  ในขณะที่ภาพรวมของสถานการณ์โลก ยังมีปัญหาด้านสังคมมิน้อย  ทั้งการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ การอพยพลี้ภัย ความอดอยาก ความไม่เท่าเทียม  ภัยธรรมชาติที่คร่าชีวิตผู้คนจานวนมาก และโรคระบาดที่ทุกประเทศต้องคอยเตรียมการรับมือ

ด้านการต่างประเทศ การขาดความเข้าใจในบริบทของประเทศไทย ได้นาไปสู่การตั้งคำถาม และความอ่อนไหวต่อความเชื่อมั่นในประเทศไทย ในมุมมองของหลายประเทศ  ขณะที่สถานการณ์โลกเกิดปรากฏการณ์ขึ้นมากมาย การเกิดพันธสัญญาระหว่างประเทศใหม่ ๆ การรวมกลุ่มของประเทศเพื่อเจรจาการค้าและสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลก

สิ่งที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นล้วนเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนามาคิด มากำหนดเป็นนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติจริง และเป็นการทางานต่อเนื่องจากปีแรกในการบริหารราชการแผ่นดิน นี้ต้องเข้าบริหารจัดการ ทั้งเพื่อการแก้ไขปัญหา และการบริหารความเสี่ยง

ในห้วง 2 ปีแรกที่รัฐบาลและ คสช. เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน  แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว  เมื่อระยะเวลาผ่านไป ผลการทำงานของรัฐบาลเป็นที่ประจักษ์ มีผลสัมฤทธิ์ปรากฏออกมา ทาให้มุมมองและการประเมินที่หน่วยงาน องค์กรต่างๆ มีต่อประเทศไทยเป็นไปในทิศทางที่ “ดีขึ้น” อย่างน่าพอใจ  สะท้อนผลการทำงานของรัฐบาลในทุกด้าน สรุปได้ดังนี้

1. ด้านเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศซึ่งส่งผลกระทบในทางที่ดี กับทุกๆ ด้านที่เหลือ มีผลการประเมินที่น่าสนใจ ได้แก่
-  ความเสี่ยงด้านความไม่แน่นอนทางการเมือง “ดีขึ้น 7 อันดับ” จาก อันดับที่ 58 (ปี 57) เป็นอันดับที่ 51    (ปี 59)
-  ความโปร่งใสในการบริหารงานภาครัฐ “ดีขึ้น 22 อันดับ” จาก อันดับที่ 57 (ปี 57) เป็นอันดับที่ 25(ปี 59)
- จำนวนเหตุการณ์ความไม่สงบใน จชต. “ลดลง” กว่าร้อยละ 50
- จำนวนคดียาเสพติดก็ “ลดลง” กว่าร้อยละ 50 จาก 4 แสนคดี (ปี 56) เหลือ 2 แสนคดี (ปี 58)

- ผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) เกือบ 180 ประเทศ ทั่วโลก  ตั้งแต่ปี 2556 –2558 อันดับของประเทศไทย “ดีขึ้น” ทุกๆ ปี อย่างต่อเนื่อง  โดยในปี 2556 ก่อนที่รัฐบาลนี้ และ คสช. เข้ามาบริหารประเทศ เราอยู่อันดับที่ 102  ปัจจุบันเราอยู่อันดับที่ 76 (“ดีขึ้น” เกือบ 30 อันดับ)  ทั้งนี้ สถาบันและองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ได้ประเมินสถานการณ์คอร์รัปชันของไทย ในสายตานานาชาติ ว่า “ดีที่สุด” ในรอบ 6 ปี และมีความโปร่งใส “ดีที่สุด” ในรอบ 10 ปี

2. ด้านความเข้มแข็งและขีดความสามารถในการแข่งขัน ทางเศรษฐกิจและสังคม มีผลการประเมินที่น่าสนใจ ได้แก่

- อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) มีแนวโน้ม “สูงขึ้น + ต่อเนื่อง” จาก 0.8%(ปี 57) เป็น 3.2%        (ปี 59)
- สัดส่วนมูลค่า SMEs ต่อ GDP มีแนวโน้ม “สูงขึ้น + ต่อเนื่อง” จาก 39.6% (ปี 57) เป็น 42.3% (ปี 59)
- ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการคมนาคมทางบก “ดีขึ้น 22 อันดับ” จาก อันดับที่ 48 (ปี 56) เป็นอันดับที่ 26 (ปี 59)

- ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการคมนาคมทางอากาศ “ดีขึ้น 3 อันดับ” จาก อันดับที่ 23 (ปี 56) เป็นอันดับที่ 20 (ปี 59)
- ความน่าลงทุนระหว่างประเทศ “ดีขึ้น 3 อันดับ” จาก อันดับที่ 31 (ปี 56) เป็นอันดับที่ 28 (ปี 59)
- องค์การสหประชาชาติ (UN) ประกาศการจัดอันดับดัชนี e-Government ประเทศไทยได้ “เลื่อนขึ้น” 25 อันดับ จาก 102 ในปี 2014 เป็นอันดับ 77 ปี 2016 จาก 193 ประเทศ
- มหาวิทยาลัย WASEDA (วา-เซ-ดะ) ของญี่ปุ่น ประกาศผลการจัดอันดับ  e-Government ปี 2016 ประเทศไทยได้อันดับที่ 21 จาก 65 ประเทศ ขยับ “ดีขึ้น” 2 อันดับ จากปี 2014 ที่ได้อันดับที่ 23
- สถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD) จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ปี 2559 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับที่ 28 (ปี 2558 อันดับที่ 30  ดีขึ้น 2 อันดับ)
- ปี 2558 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เกือบ 30 ล้านคน (มากเป็นอันดับ 11 ของโลก) สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.44 ล้านล้านบาท (สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก)
- ปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทย มีแนวโน้ม “สูงขึ้น + ต่อเนื่อง” จาก 8.0% (ปี 56) เป็น 8.5% (ปี 58)

- อัตราการเจ็บป่วยต่อประชากรพันคน “ลดลง + ต่อเนื่อง”  และอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรทางบก (ต่อประชากร “แสน” คน) “ลดลง” จาก 11.3 คน (ปี 56) เหลือ 9.7 คน (ปี 58)

- ผลการจัดอันดับประเทศที่มี “ความทุกข์ยาก น้อยที่สุดในโลก” ของ Website “บลูมเบิร์ก”ให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 จากทั้งหมด 74 ประเทศทั่วโลก  และเป็นประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก เป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องกัน  นอกจากนี้ นิตยสารนิวส์ แอนด์เวิลด์ รีพอร์ต ได้จัดอันดับ 60 ประเทศที่ดีที่สุด ประจาปี 2016 โดยประเทศไทยได้ถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 21 ของโลก  อันดับสูงสุดในอาเซียน  และระบุด้วยว่า ประเทศไทยน่าท่องเที่ยวผจญภัย และเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 4 จาก 60 ประเทศที่ดีที่สุด  ซึ่งวัดจากความสวยงามทางธรรมชาติ มรดกทางประเพณีและวัฒนธรรม ลักษณะประชากรและคุณภาพชีวิต โอกาสในการประกอบการ โอกาสด้านธุรกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเมือง

3. ด้านกฎหมายและการต่างประเทศ มีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ ได้แก่
- ออกกฎหมายที่สำคัญ จำเป็นได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
- การแก้ปัญหางาช้าง ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า     และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) ทาให้รอดพ้นจากการถูกคว่ำบาตรทางการค้าจาก CITES ซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจ มากกว่า 47,000 ล้านบาทต่อปี
- การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งรัฐบาลนี้ ถือเป็น “วาระแห่งชาติ”  มีความคืบหน้า จนสหรัฐอเมริกา ได้ปรับระดับในรายงานการค้ามนุษย์ หรือ TIP Report ประจำปี 2559 ให้ประเทศไทย “ดีขึ้น” ซึ่งอาจจะส่ง “ผลดี” ต่อการแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย (IUU) ของทาง EU เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกัน  โดยสินค้าประมงไทย มีมูลค่าการส่งออก กว่า 240,000 ล้านบาทต่อปี

รัฐบาลอยากเรียนให้พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทุกท่านทราบว่า  รัฐบาลบริหารประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ กฏหมายและกระบวนการยุติธรรม รวมถึงด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งรายละเอียดของการดำเนินงานกว่าจะสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ ท่านรองนายกแต่ละด้านจะมาสรุปในรายละเอียดให้ทุกท่านฟังอีกครั้งต่อจากนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่อาจจะสรุปทุกเรื่องให้ครบถ้วนได้ในเวลาอันสั้น แต่ยืนยันว่ารัฐบาลได้ลงมือทำแล้ว เพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับประเทศ

ผมขอขอบคุณท่านรองนายกรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรี ท่านรัฐมนตรีช่วย ข้าราชการ พี่น้องประชาชน ภาคเอกชน ทุกฝ่ายที่มีส่วนต่อความสำเร็จของประเทศในห้วงที่ผ่านมา และจะขอกล่าวถึงผลการดำเนินงานภาพรวมในแต่ละด้าน ดังนี้

ในด้านความมั่นคง รัฐบาลทำให้การเผชิญหน้า ความแตกแยก แบ่งฝักฝ่ายลดน้อยลง คนไทยอยู่กันอย่างสงบสุขมากขึ้น  สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ เราเน้นการพูดคุย เพื่อแสดงความจริงใจ ใช้การแก้ไขปัญหาด้วย “สันติวิธี” เน้นการพัฒนาพื้นที่ให้เจริญทั้งด้านจิตใจ สังคม การศึกษา และเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกคนอยู่ดีกินดีมีความสุข  รวมทั้งส่งเสริมการวิจัย การพัฒนา นวัตกรรม เพื่อความมั่นคงมีเสถียรภาพและศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในอนาคต รวมทั้งวางแนวทางการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ เพื่อให้เป็นสถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชน  รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไว้เพื่อคนไทยทุกคน

ในด้านเศรษฐกิจ มีการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและ ICT เพื่อลดต้นทุนและยกระดับโลจิติกส์ของประเทศ กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคด้วยการสร้างโครงข่ายการคมนาคมทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง CLMV+ ประเทศในกลุ่มอาเซียน ASEAN+ และทุกภูมิภาคของโลก  ผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษในทุกภูมิภาค สนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ ทั้ง กลุ่ม startup + SME +OTOP โดยใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน และสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน  ปฏิรูปการเกษตรกรรมโดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต  รวมทั้งวางระบบการบริหารจัดการน้ำที่ครอบคลุมทั้งประเทศ  แก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการประกอบธุรกิจ (Ease of doing business)  และที่สำคัญคือการผลักดันประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ในด้านสังคม มีการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกระดับโดยการตั้งกลไกในแต่ละหน่วยงาน  การจัดระเบียบสังคม จัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ  การจัดการปัญหาการบุกรุกคูคลองพื้นที่สาธารณะ  ผลักดันสวัสดิการทางสังคม เพื่อดูแลผู้ด้อยโอกาสและผู้มีรายได้น้อย กำหนดให้เด็กไทยเรียนดีอย่างมีคุณภาพ 15 ปี ที่สำคัญมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ทุกคนในสังคมมีความสุขร่วมกัน คนมีมากก็ควรแบ่งปันมาก ด้วยภาษีมรดก ภาษีที่ดิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม

ในด้านการต่างประเทศ ผมและคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศทางานอย่างหนักในทุกเวทีระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของ

ประเทศ เราตอบสนองและผ่อนคลายหลายสิ่งตามความคาดหวังและพันธสัญญาที่เราได้ให้ไว้ รวมทั้งแสดงบทบาทนาในเวทีโลกด้วยนโยบายการต่างประเทศเชิงรุก อย่างสร้างสรรค์ และสมดุล จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานกลุ่มประเทศG77 รวมทั้งให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาของประเทศตามหลักสากล อาทิ การแก้ไขปัญหา ประมงผิดกฎหมาย (IUU) ปัญหาการบินพลเรือนที่ไม่ได้มาตรฐาน (ICAO) ปัญหาการค้ามนุษย์ การค้างาช้าง (CITES)

ในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลมุ่งสร้างความยุติธรรมในสังคมด้วยการทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย กฎหมายฉบับใดที่ยังล้าสมัยเราต้องปรับปรุง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และรัฐต้องไม่เสียประโยชน์ ปฏิรูประบบงานราชการและการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพ (ง่าย +สะดวก+รวดเร็ว) รวมทั้งออกกฎหมายใหม่ที่สอดคล้องกับกฎบัตร พันธะใหม่ ๆ ที่ประเทศต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง  เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นอุปสรรค แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่สร้างความยุติธรรมและกติกาที่เป็นธรรม  ที่สำคัญ กฎหมายต้องสามารถสนับสนุนการบริหารงานราชการแผ่นดินในทุกมิติ

ที่ผ่านมารัฐบาล และ คสช. ทำบางอย่างสำเร็จแล้ว  บางอย่างเริ่มทาตามห้วงเวลา  บางอย่างวางแผนแม่บทไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ  ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญใหม่  ทั้งการออกกฎหมายลูก  กฎหมายในเชิงบูรณาการหน่วยงานและงบประมาณ  การจัดทำแผนงาน แยกเป็นกิจกรรม ที่มี Road map ในทุกกิจกรรมหลัก

กล่าวโดยสรุป ประเทศได้ผ่านช่วงระยะที่ 1 ใน Road Map ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และพี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานั้นรัฐบาล คสช. ขอบคุณในความร่วมมือของพี่น้องประชาชน ข้าราชการ ภาคธุรกิจ เอกชน ที่เข้าใจและ

สนับสนุนให้รัฐธรรมนูญ และ คำถามพ่วง ผ่านการลงประชามติ ตามหลักการสากล ตลอดจนให้กาลังใจในการทางานของรัฐบาลเสมอมา

ปัจจุบันเป็นระยะที่ 2 ของ Road Map คือการเริ่มต้นปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง ปฏิรูปการบริหารราชการ  และการจัดทำแผนที่นำทางไปสู่อนาคตตามวิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ขอย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ถ้าไม่ทำวันนี้ โอกาสของประเทศไทย โอกาสของคนไทยจะสูญเสียไปอย่างมหาศาลและยากที่จะเรียกกลับคืนมาได้

เราจำเป็นต้องนาเอาปัจจัยภายใน อาทิ  อัตลักษณ์ ประเพณี  ความเป็นคนไทย ความแตกต่างทางความคิด ความสามารถในการแข่งขัน ทุนทางทรัพยากรของประเทศ และปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวกำหนด ว่าประเทศไทยควรจะทาอย่างไร ด้วยวิธีการใด จึงจะเกิดผลดีที่สุดกับประชาชนคนไทย  ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้    และจะดำเนินต่อไป โดยที่ประเทศไทยต้องปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงนั้น ได้แก่ ปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง  การขยายตัวทางเศรษฐกิจแนวใหม่ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น  มีเสรีมากขึ้น มีกรอบกติกา พันธสัญญาใหม่ ๆ มากมายที่เราต้องยึดถือปฏิบัติ  การมีมติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (BREXIT)  การค้า การแข่งขันด้วยนวัตกรรม ทำให้ความได้เปรียบด้านราคาและมูลค่าการส่งออกของประเทศไทยน้อยลงตามลำดับ ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ  ปัญหาภัยธรรมชาติ   น้ำท่วม ฝนแล้ง ปัญหายาเสพติด  ภัยจากการก่อการร้าย  อาชญากรรมข้ามชาติ  โรคระบาด  การโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงของประเทศไทย หากไม่เตรียมการ ไม่ปฏิรูปตนเอง หามาตรการใหม่ๆ มารองรับ  เราก็จะเผชิญปัญหาเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

นอกเหนือจากการรักษา “โมเมนตัม” ในการบริหารประเทศ ทั้ง 6 มิติ เพื่ออนาคตของประเทศแล้วดังกล่าวแล้ว  ภารกิจสำคัญของรัฐบาลในอนาคตจากนี้ คือ การสร้างฐานรากสู่อนาคต ตามโมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” ประกอบด้วย 10ภารกิจหลัก คือ (1) การเตรียม “คนไทย 4.0” สู่ประเทศโลกที่ 1 (2) การเร่งพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ (3) การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (4) การสร้างความเข้มแข็งในวิสาหกิจไทย(5) การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา (6) การสร้างความเจริญเติบโต ที่กระจายสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น ผ่านจังหวัด – กลุ่มจังหวัด (7) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศ (8) การสร้างสังคมที่เป็นธรรม สังคมแห่งโอกาส และสังคมที่เกื้อกูลแบ่งปันกัน (9) การบูรณาการอาเซียน และการเชื่อมโยงไทยสู่ประชาคมโลก รวมทั้ง (10) การขับเคลื่อนประเทศ ผ่านกลไก “ประชารัฐ”

สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในระยะที่ 2 ของการบริหารราชการแผ่นดิน คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษาตลอดชีวิต  การวางระบบการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนแข็งแรง มีสุขภาพดี“สร้างนำซ่อม” (ส่งเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรง ดีกว่าเน้นเรื่องการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยแล้ว)  การวางระบบประกันสุขภาพที่ต้องเอื้อประโยชน์ที่ดีขึ้นแก่ประชาชน สนับสนุนการลงทุนภายในประเทศด้วยการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทันสมัยไปพร้อมกับปรับปรุงของเดิมที่ล้าสมัย ไม่สมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่าที่ควร การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ  รวมทั้งเร่งผลักดัน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ หรือกลุ่ม S Curve และอุตสาหกรรมอนาคต หรือ New S Curve  ปฏิรูปการเกษตรกรรมโดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต  เป็นสิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างอาชีพและการจ้างงาน  รวมถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งต้องสัมพันธ์กับความต้องการแรงงานภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้เราจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการค้าขายสินค้าเกษตรต้นน้ำ ไปสู่การสร้างสินค้าเกษตรนวัตกรรมเพื่อการแข่งขัน เพราะรายได้ของประเทศ ปัจจุบัน 70% มาจากการส่งออก และส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรกรรมต้นน้ำที่มีมูลค่าไม่สูง

อุตสาหกรรมพื้นฐานในประเทศจำเป็นต้องมีการปรับปรุง สร้างนวัตกรรมเพื่อการแข่งขัน  ต้องหารายได้มากขึ้นจากทั้งการค้า และการลงทุน การปรับโครงสร้างการเกษตร

สิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอดและจะดำเนินการต่อไปคือการดูแลประชาชนผู้ด้อยโอกาสและผู้มีรายได้น้อยให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีมาตรฐาน มีศักดิ์ศรี และมีโอกาสทางสังคมที่ดียิ่งขึ้น

รัฐบาลมุ่งมั่นการทำงานแบบบูรณาการให้เกิดการประสานสอดคล้อง เชื่อมโยง เพราะทุกปัญหาของหลายหน่วยงานมีความเกี่ยวข้องและมีผลกระทบซึ่งกันและกัน  จากเดิมที่อาจมีการบริหารราชการในลักษณะบนลงล่าง เป็นแท่งงานของแต่ละกระทรวง ใช้งบประมาณของตนเองขาดจากกัน ปัจจุบันเราต้องบริหารงานทั้ง ล่างขึ้นบน  บนลงล่าง ในแนวตั้ง และแนวนอน โดยใช้กลไกประชารัฐควบคู่กันไป ฟังความต้องการ เอาปัญหาของประชาชนมาเป็นตัวกำหนด โดยต้องแยกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งรายได้มาก รายได้ปานกลาง รายได้น้อย มาทาให้เกิดห่วงโซ่ในการทางาน  ห่วงโซ่ในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกฝ่ายเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เราทิ้งใครไว้ไม่ได้

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มองเห็นอนาคตว่า 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยควรเป็นอย่างไร  รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจะต้องดำเนินการอย่างไรให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริง  เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้า ความไม่เป็นธรรม

รัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว บางเรื่องเกิดผลสำเร็จ บางเรื่องยังติดขัดบ้าง  เนื่องจากปัจจัยหลายประการ อาทิ กฎหมายที่ไม่ทันสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์  ประชาชนบางกลุ่มยังไม่เปิดใจรับการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง  โครงการพัฒนาหลายโครงการไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA และการประเมินผลกระทบสุขภาพ EHIA แม้โครงการดังกล่าวจะมีการพัฒนา หรือมีการใช้เทคโนโลยีหรือเทคนิคใหม่ ๆ แล้วก็ตาม  เพราะประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับข้อมูลหลักการที่ถูกต้อง บางส่วนเป็นเพราะไม่เชื่อมั่นกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานของรัฐในการดำเนินโครงการต่างๆ ในอดีต จึงนำมาสู่การคัดค้านต่อต้านโครงการพัฒนาในปัจจุบัน

อยากขอให้พี่น้องประชาชนเปิดใจ มั่นใจ การทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน อย่ามองแต่เฉพาะผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง  จนลืมมองว่าประเทศไทยไม่สามารถย่ำอยู่กับที่ จำเป็นต้องพัฒนาต่อไปไม่หยุดยั้ง

ที่ผ่านมา เราพยายามบริหารราชการและแก้ปัญหาของประเทศด้วยกฎหมายปกติภายใต้ระบอบประชาธิปไตย  การใช้อำนาจพิเศษเป็นไปเพียงเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย รักษาสถาบันเกิดการบูรณาการ ในทางสร้างสรรค์ และเพื่อไม่ให้ติดขัดในการทำงานร่วมกัน เพราะทุกหน่วยงานมีกฎหมายเฉพาะ ที่ทาให้ล่าช้า ไม่ทันต่อเวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา ซึ่งเราจะยึดถือแนวทางนี้ตลอดไป

การเมืองที่ไม่มีธรรมาภิบาล ไม่เคารพกฎหมาย เบี่ยงเบนประเด็น หาผลประโยชน์เพื่อกลุ่มตนพวกพ้อง ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ล้วนเป็นการทำลายชาติและเป็นภัยร้ายแรงของประเทศจะต้องถูกขจัดให้หมดไปจากแผ่นดินไทย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ารัฐบาลและ คสช. จะทำอะไรได้ดีเพียงไร ทั้งแก้ไขปัญหา  จัดทำกฎหมาย  ปรับโครงสร้าง สร้างความเข้าใจ และการรับรู้ ก็ยังมีผู้ไม่หวังดี บิดเบือน ให้เกิดความแตกแยก สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน และชาวต่างชาติ ตลอดเวลา โดยการอ้างประชาธิปไตย  สิทธิมนุษยชน โดยลืมไปว่า เคยเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา  ซึ่งมีทั้งการไม่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ดำเนินกิจกรรมการเมืองที่ไร้ธรรมาภิบาล การแสวงหาผลประโยชน์เพื่อกลุ่มและพวกพ้อง  สิ่งเหล่านี้เป็นการทำลายประเทศชาติ ทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนา แต่เป็นอันตรายอย่างที่สุด  ผมอยากขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนได้รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือ หรือหลงเชื่อข้อมูลจากผู้ไม่หวังดีเหล่านี้  ที่สำคัญ ต้องไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาชี้นำ มีอิทธิพล หรือกลับมามีที่ยืนในสังคมไทยได้อีก

ภารกิจของรัฐบาลชุดนี้ในอีกปีเศษข้างหน้า ซึ่งเป็นระยะที่ 3 ของ Road Map คือ การ “ส่งไม้” ส่งมอบหน้าที่ต่อให้กับรัฐบาลชุดใหม่ ภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องรับภารหน้าที่ในการบริหารประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งถ้าเปลี่ยนผ่าน“สำเร็จ” เราจะมีโอกาสยกฐานะไปสู่ “ประเทศในโลกที่ 1”  นั่นหมายถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยของประชากรสูงขึ้น  มีระบบสวัสดิการที่สมบูรณ์  ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี  ปัญหาสังคมปัญหาอาชญากรรมลดลงมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน  ความสุขสงบเกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ  การเมืองที่มีเสถียรภาพ นักการเมืองมีธรรมาภิบาล  สังคมมีกฎกติกา ผู้คนมีระเบียบวินัย  เศรษฐกิจเจริญเติบโตเข้มแข็ง ความเจริญกระจายตัวไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ  ประเทศไทยมีพื้นที่ยืนในเวทีโลกอย่างสง่างาม

ในท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบคุณที่พี่น้องประชาชนอีกครั้ง ที่เข้าใจ และไว้วางใจรัฐบาล และขอยืนยันว่ารัฐบาลและ คสช. จะอยู่เคียงข้างท่าน และขอให้ทุกท่านอยู่เคียงข้างประเทศไทย ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมมือกัน ในการปฏิรูปประเทศ ไปสู่ประเทศที่เจริญก้าวหน้า

ทุกสิ่งที่กล่าวมา เป็นความหวังความตั้งใจของผม ของคณะรัฐมนตรีทุกท่าน และเชื่อว่าเป็นความหวังของคนไทยทุกคน ผมมั่นว่าทุกเรื่องเป็นจริงได้ ถ้าคนไทยทุกคนร่วมมือ ร่วมใจ เดินไปด้วยกันทุกคน และความสำเร็จนี้จะเป็นความสำเร็จร่วมกันของเราทุกคนครับ
 
 
 

LastUpdate 15/09/2559 13:17:44 โดย : Admin

19-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 19, 2024, 12:09 pm