ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน ปัจจัยลบอิตาลีเข้ามากดดัน SET (30/05/61)


 “ปัจจัยลบอิตาลีเข้ามากดดัน SET”

• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันจันทร์ – SET Index ปรับลง 6.67 จุด ปิดที่ 1734.54 จุด หากไม่นับ PTT,PTTEP และ PTTGC ที่ลดลง 10.08 จุด พลิกเป็นบวก 3.41 จุด มูลค่าซื้อขายปานกลางที่ 50.7 พันล้านบาท มีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลงแรง จากข่าวที่ว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซียกำลังพิจารณาปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อชดเชยการผลิตที่ลดลงของอิหร่านและเวเนซุเอลา อันเนื่องมาจากการถูกคว่ำบาตรขณะเดียวกับมีข่าวดีคือทรัมป์จะยังคงประขุมกับเกาหลีเหนือ ทำให้สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศดีขึ้น แต่หุ้นกลุ่มหลัก เช่น ธนาคารกลับเพิ่ม และมีการเก็งกำไรรายตัว ผู้ขายสุทธิคือนักลงทุนต่างประเทศถึง 2.9 พันลบ. ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 1.7 พันลบ. รายย่อย 0.9 พันลบ หลักทรัพย์ 0.3 พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์–ปัจจัยต่างประเทศกลับมาแย่ลงจากสถานการณ์อิตาลีและสเปน มูดีส์อาจปรับลดเครดิตอิตาลี อิตาลีอาจผิดนัดชำระหนี้จำนวนมากและยูโรโซนอาจเกิดภาวะไร้เสถียรภาพ เสริมข่าวลบเดิมสหรัฐฯอาจปรับเพิ่มภาษีรถยนต์นำเข้า และราคาน้ำมันกลับมาลง เพราะซาอุ-รัสเซียอาจปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมเดือนหน้า ข้อดีที่มีคือ ทรัมป์กลับมาประชุมกับเกาหลี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลดลงต่ำกว่า 3% สถานการณ์ในประเทศระยะนี้ ปัจจัยบวกเป็นเรื่องเศรษฐกิจไทยเติบโตดีเกินคาด ติดตามศาลฯพิจารณาตีความที่มา สส. คาดว่าดัชนีฯมีโอกาสแกว่งตัวในลักษณะปรับลงเพราะปัจจัยต่างประเทศกดดัน ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับตัวลงแรงพอควร ให้ระวังหากดัชนีฯหลุด 1730 จด ให้พิจารณาขายไปบางส่วน ส่วนระยะกลาง-ยาวยังต้องติดตามเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่แน่นอน ได้รับปัจจัยลบจาก MSCI ถ่วงน้ำหนักไทยลดลงมีผล 31 พ.ค.61 อีกทั้งค่าเงินบาทมีความผันผวนเทียบกับดอลลาร์มาก ส่วนการเมืองไทยหลังศาลฯตีความไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็มีโอกาสเลือกตั้งได้ ก.พ.62 กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ มีแรงกระตุ้น (Catalyst) เฉพาะตัว ควรเน้นหุ้นที่ธุรกิจเน้นตามเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) ไม่แปรผันตามต่างประเทศที่ผันผวนสูง ตามบทวิเคราะห์ DBS ได้ นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้น ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย เพือล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1720-1755 จุด
  Update หุ้นเด่น : HMPRO- เน้นจำหน่ายสินค้าในประเทศเป็นหลัก จึงได้รับผลดีจากกำลังซื้อในประเทศที่ฟืนตัวขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจไทย ไม่ได้รับผลลบจากปัจจัยต่างประเทศที่ผันผวนโดยตรง คงคำแนะนำซื้อ สืบเนื่องจากคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรที่แข็งแกร่ง โดยแรงสนับสนุนกำไรมาจาก ยอดขายที่เพิ่มขึ้นดี และประสิทธิภาพการทำกำไรที่สูงขึ้น กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 17.50 บาท ด้วย DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 17%
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯมีน้ำหนักเป็นการลง แต่อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนแล้วจึงปรับลง เพราะระยะกลางมีสภาวะ Overbought & Divergence ยังคอยกดดัน ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1740-1750, 1755 โดยมีแนวรับ 1720-1700 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1730 จุด

Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-อิตาลี ปัจจัยลบที่ทวีความน่ากังวลมากขึ้น
  # ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในอิตาลีและสเปน ขณะที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลี ถ้าหากรัฐบาลชุดใหม่ของอิตาลีไม่สามารถดำเนินนโยบายการคลังที่จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศลดลงอย่างยั่งยืน รวมทั้งแนวโน้มที่รัฐบาลอิตาลีอาจผิดนัดชำระหนี้เป็นจำนวนมาก ความไม่แน่นอนทางการเมืองในอิตาลีและสเปนอาจส่งผลให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพในยูโรโซน
+/• สหรัฐฯกลับมาพร้อมประชุมกับเกาหลีเหนือ
  # นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่การจัดการประชุมสุดยอดระหว่างตัวเขา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.ที่สิงคโปร์ ตามที่มีการกำหนดไว้
  # เรื่องนี้มีผลกับ SET เพราะหากการประชุมมีความคืบหน้าที่จะบ่งชี้ว่า การเมืองระหว่างประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดีก็จะเป็นบวกได้นั่นเอง
- น้ำมัน WTI ปรับลง กังวลซาอุฯ รัสเซีย เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ร่วงลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 66.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.ปีนี้
  # แต่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. ขยับขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 75.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (29 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียอาจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อชดเชยการผลิตที่ลดลงของอิหร่านและเวเนซุเอลา อันเนื่องมาจากการถูกคว่ำบาตร
  # ราคาน้ำมันหากปรับลงต่อเนื่อง จะเป็นผลลบกับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เป็นการซ้ำเติมสภานการณ์ขณะนี้ต่อไป
+/- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทยอยปรับลงต่ำกว่า 3% ดอลลาร์แข็งค่า
  # อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลงอีกสู่ระดับ 2.7967% หลังเคยไปทำยอดสูงสุดใหม่เกิน 3.1%
  # แต่ดอลลาร์สหรัฐแนวโน้มแข็งค่า ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นมาเป็น 94.85 จุด ค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าลงเป็น 32.09 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
  # ดัชนีความกลัว (VIX) ทะยาน ล่าสุดเป็น 17.02 เพิ่มถึง 29%
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์สหรัฐปรับลงต่อ กังวลอิตาลี
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,361.45 จุด ร่วงลง 391.64 จุด หรือ -1.58% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,689.86 จุด ลดลง 31.47 จุด หรือ -1.16% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,396.59 จุด ลดลง 37.26 จุด หรือ -0.50%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 400 จุดเมื่อคืนนี้ (29 พ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในอิตาลีและสเปน ขณะที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลี ถ้าหากรัฐบาลชุดใหม่ของอิตาลีไม่สามารถดำเนินนโยบายการคลังที่จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศลดลงอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารในสหรัฐ
• ภาวะตลาดทองคำ : ลดลง หลังดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 4.7 ดอลลาร์ หรือ 0.36% ปิดที่ 1,299 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (29 พ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนจำนวนหนึ่งเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย อันเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนในอิตาลี

ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
-/• MSCI ยังมีผลกดดันตลาดหุ้นไทย เริ่มมีผล 31 พ.ค.61 แต่ตอบสนองไปก่อนบางส่วน
  # ด้านน้ำหนักการลงทุนของไทย ถูกปรับลดลงเป็น 2.31% จาก 2.38%
  #ใน MSCI Global Standard มีหุ้นเข้ามาคำนวณเพิ่ม 1 บริษัท คือ LH และหุ้นที่ถูกถอดออกคือ KCE, SCC-F ส่วนใน MSCI Small Cap Indexed มีหุ้นเข้ามาคำนวณเพิ่ม 6 บริษัท คือ DDD, KCE, MONO, PRM, THG, TPIPL และมีหุ้นถูกถอดออก 9 บริษัทคือ BIG, EASTW, FSMART, GL, KTC, LHBANK, MALEE, SAMART, TSE
  # หุ้นที่อยู่ใน MSCI และได้รับการปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุน คือ SCC (เพิ่มจาก 0.03% เป็น 0.0998%) ส่วนหุ้นที่ถูกปรับน้ำหนักลดลง คือ SCC-F (ลดจาก 0.0805% เป็น 0%)
  # ผลกระทบ: คาดว่าราคาหุ้นอาจจะได้รับผลกระทบทั้งบวกและลบ แล้วแต่ถูกนำเข้า หรือเอาออก และหลังจาก 31 พ.ค.61 ไปแล้วก็จะมีผลกระทบน้อยลง
+/• การเมืองไทย: ติดตามคำวินิจฉัยและมติของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับเลือกตั้ง สส. 30 พ.ค.61
  #ศาลรัฐธรรมนูญ ยังได้นัดวินิจฉัยและแถลงด้วยวาจา และลงมติ ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ... มาตรา 35 (4) และ (5) มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 95 วรรคสามและร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ... มาตรา 92 วรรคหนึ่ง มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 85 หรือไม่ ตามที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 27 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ในวันที่ 30 พ.ค.นี้
+ กลุ่มพลังงาน : เปิดรายชื่อเอกชนผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นประมูลแหล่งเอราวัณ-แหล่งบงกช
  # ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นและมีสิทธิเข้าร่วมประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย แปลง G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จำนวน 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd., บริษัท PTTEP Energy Development Company Limited, บริษัท MP G2 (Thailand) Limited, บริษัท Total E&P Thailand, บริษัท OMV Aktiengesellschaft
  # ส่วนแปลง G2/61 จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท Chevron Thailand Holdings Ltd., บริษัท PTTEP Energy Development Company Limited, บริษัท MP L21 (Thailand) Limited, บริษัท OMV Aktiengesellschaft
  # ขั้นตอนต่อไป ผู้ขอสิทธิที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นแล้ว และประสงค์จะยื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ จะต้องยื่นเอกสารแสดงความจำนงพร้อมชำระค่าเข้าร่วมประมูล จำนวน 7 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม 2561- วันที่ 1 มิถุนายน 2561 และผู้ร่วมประมูลต้องจัดทำข้อเสนอด้านเทคนิคและผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ โดยยื่นเสนอต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในวันที่ 25 กันยายน 2561
+/• ANAN: ติดตามว่าจะได้ อ.6 โครงการ Ashton อโศก หรือไม่
  # ราคาหุ้น ANAN มีการปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าเป็นเพราะข่าวทางอธิบดีโยธาธิการเผยว่าคณะกรรมการอุทธรณ์ให้ยึดตามกฎหมายควบคุมอาคารเป็นหลัก ซึ่งทาง ANAN ได้อุทธรณ์ไป ถ้าทำถูกต้อง ควรออกใบ อ.6 เปิดให้ใช้อาคาร Ashton อโศกได้ ส่วนเรื่องที่มีอยู่กับศาลปกครองฯถือว่าเป็นคนละส่วน ด้านพันธมิตร มิตซุยฯ ได้ตั้งสำรองหนี้ 100 ล้านเหรียญฯ (ประชาชาติธุรกิจ)
  # ผลกระทบ: ยังมีความไม่แน่นอนว่าทาง ANAN จะได้รับ อ.6 เมื่อไร คือเกินกำหนดการโอนมาตั้งแต่ ปลายมี.ค. 61 แล้วคำแนะนำที่เป็น เต็มมูลค่า (Fully Valued) ราคาพื้นฐาน 4.00 บาท นั้นคือ ให้โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ไว้ก่อนแต่หากโอนได้จริงจะเป็นข่าวบวกเข้ามา เพราะโครงการนี้มีมูลค่าสูงรวมทั้งหมดในนามกิจการร่วมทุนเป็น 6.7 พันล้านบาท ต้องติดตามผลใกล้ชิด ราคาหุ้นจึงหวั่นไหวไปกับพัฒนาการของข่าวนี้มาก
+/• เก็งกำไร SIRI เรื่องอาจได้พัฒนา Mix Use มักกะสัน-ศรีราชา
  # SIRI มีข่าวว่าพันธมิตรต่างประเทศญี่ปุ่นคือ โตคิว คอร์ปอเรชัน สนใจประมูลรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน และสนใจพัฒนา Mix Use มักกะสัน-ศรีราชา ซึ่งน่าจะเป็น SIRI ที่มีโอกาสได้เข้าไปมีส่วนร่วม (share) ธุรกิจนี้ได้
  # ผลกระทบ: ยังเร็วไปที่จะเก็งกำไร SIRI เพราะโตคิวฯยังประมูลรถไฟฟ้าไม่ได้ คงคำแนะนำ เต็มมูลค่า (Fully Valuedราคาพื้นฐาน 1.70 บาท คาดการณ์กำไรหลักปีนี้และปีหน้าอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว หรือไม่มีการเติบโต จึงใช้ Forward P/E ในการประเมินมูลค่าหุ้นเพียง 8.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ให้ 9-10 เท่า ราคาปิดมีส่วนลด (downside) ได้อีก 4.5%
-/+ BJC: ยอมรับ 2Q/61 หดตัวเล็กน้อยจาก 1Q/61 เป็นช่วงโลวซีซั่น
  # บริษัทกล่าวแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 คาดว่าจะปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 เนื่องจากเป็นช่วงของโลว์ซีซั่น ประกอบกับยังได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมัน และน้ำตาลที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขณะที่ยังคาดหวังเทศกาลฟุตบอลโลก ที่จะเริ่มในช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้ จะช่วยสนับสนุนผลประกอบการให้ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วและกระป๋อง รวมถึงธุรกิจค้าปลีก BIG C (Aspen)
  #บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ปี 61 เติบโต 7-9% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.64 แสนล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตในทุกธุรกิจ แบ่งเป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋อง ที่คาดว่าจะเติบโต 7-8% ตามการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น , ธุรกิจอุปโภคบริโภค คาดจะเติบโต 7-8% (Aspen)
  # ฝ่ายวิจัยฯ DBS คงคำแนะนำ ซื้อ คาดว่าการเติบโตที่แข็งแกร่งจะมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือปีนี้สำหรับสามธุรกิจที่ยังเติบโตได้ดีคือ บรรจุภัณฑ์ อุปโภค-บริโภค และค้าปลีก (Modern Retail) ส่วนสินค้าเพื่อสุขภาพและเทคนิคคาดว่าจะเริ่มกลับมาดีในไตรมาส 2/61 เนื่องจากจะมีการออกสินค้าใหม่ๆ และจะมีงบประมาณจากภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น คาดว่าอัตราการเติบโตกำไรหลักตลอดปี 61/62 แข็งแกร่งเป็น +28%/+13% y-o-y กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 70.00 บาท ด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 21%


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 30 พ.ค. 2561 เวลา : 09:55:08

25-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 25, 2024, 6:30 pm