ข่าว เบรกกิ้งนิวส์
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน ดาวโจนส์หนุน น้ำมันปรับขึ้น (16/07/61)


 “ดาวโจนส์หนุน น้ำมันปรับขึ้น”

• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ – SET Index รีบาวด์ต่อ 2.59 จุด ปิดที่ 1643.52 จุด อยู่ในเกณฑ์สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายเบาบางมากที่ 37.6 พันล้านบาท ระหว่างวันดัชนีไปทำยอดสูงสุด 1649.66 จุด หลังจากจีนส่งสัญญาณอาจเจรจากับสหรัฐเพื่อสงบศึก เพราะยังไม่มีมาตรการตอบโต้ออกมา แต่ก็มีปัจจัยลบราคาน้ำมันปรับลง ดอลาร์แข็งค่า (เงินไหลออก) หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง หุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯปรับลงตามราคาน้ำมัน แต่กลุ่มธนาคารที่ใกล้ประกาศผลการดำเนินงานช่วยหนุนตลาด ยกเว้น TISCO ปรับลงมาก ด้านผู้ซื้อสุทธิรายเดียวคือ สถาบัน 1.04 พันลบ. ด้านผู้ขายสุทธิคือ บัญชีหลักทรัพย์ 0.70 พันลบ. ต่างประเทศ 0.30 พันลบ. และรายย่อย 0.04 พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์– SET มีโอกาสปรับขึ้นต่อ จาก sentiment ที่ดี ดาวโจนส์ปรับขึ้นเหนือ 25,000 จุดอีกครั้ง ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้ ดอลลาร์อ่อนค่าลง จีนส่งสัญญาณอาจเจรจากับสหรัฐเพื่อสงบศึก เพราะยังไม่มีมาตรการตอบโต้ออกมา แต่ยังต้องติดตาม คือ วางใจไม่ได้เสียทีเดียว สหรัฐมีทีท่าดีขึ้นกับอังกฤษ และจีนประกาศ GDP ไตรมาส 2 วันนี้ ส่วนปัจจัยบวกเดิมที่ค้ำอยู่คือ การคาดการ์ว่าผลการดำเนินงานสหรัฐจะออกมาดี หลังกลุ่มแบงค์ มีทั้งดีและต่ำกว่าคาด SET ลงมามาก จนเริ่มถูก ปันผลสูงรวมทั้งสถาบันมีแรงซื้อต่อเนื่อง ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบา้ นเช้านี้ปรับขึ้นแคบๆกันเป็นส่วนใหญ่ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +68 จุด น้ำมันล่วงหน้าปรับลง วันนี้ SET ขึ้นไปได้ แต่ยังต้องระวังแรงขายทำกำไร ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่าและเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ส่วนปัจจัยบวกคือ การเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี ธปท.กล่าวยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า เพราะเราเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบได้ กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1620-1670 จุด
  Update หุ้นเด่น : SENA – คงแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 4.39 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 61 ที่ 7 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 20% จุดเด่น- คาดการณ์กำไรสูงสุดใหม่ต่อเนื่องทั้งปี 61 และ 62 อัตราการเติบโตกำไรหลักปีนี้และปีหน้าเป็น 20%/10% ตามลำดับ แต่กำไรต่อหุ้นเติบโตไม่สูงเท่า เพราะปันผลเป็นหุ้นสามัญต่อเนื่อง แต่ปันผลได้สูง คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปีนี้และปีหน้าเป็น 6.9%/7.5% ตามลำดับ และเน้นการใช้พลังงานไฟฟ้าโซลาร์ผูกไปกับการจำหน่ายอสังหาฯ ทำให้ลูกบ้านประหยัดค่าไฟฟ้าได้มาก มีรายได้จากไฟฟ้าแสงอาทิตย์บนหลังคาเพิ่ม รวมทั้งกำไรตามส่วนได้เสียที่เป็นโซลาร์ฟาร์มที่ได้กำไรตกไตรมาสละ 15 ล้านบาท คาดการณ์อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สิ้นปีนี้อยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 17%
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators กลับเป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1650-1660, 1670 โดยมีแนวตัดขาดทุนที่ต่ำกว่า 1630 จุด
 สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น TMB.CPN,PSL,AJ,UTP,CPF ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ KTB,GULF,HMPRO,CK,BANPU,TU,BEC,WICE หุ้นที่หลุด List - และที่ให้หาจังหวะTake profit คือ EPG,DELTA

Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- ผลประกอบการธนาคารสหรัฐมีทั้งดีกว่าคาด และต่ำกว่าคาด
  # ธนาคารขนาดใหญ่เปิดเผยผลประกอบการ เจพี มอร์แกน และ ซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยกำไรไตรมาส 2 ดีกว่าคาด แต่เวล ฟาร์โกออกมาต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตามทั้งสามหลักทรัพย์มีราคาที่ปรับตัวลง
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น ฤดูกาลเปิดเผยผลประกอบการได้เริ่มแล้ว
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,019.41 จุด เพิ่มขึ้น 94.52 จุด หรือ +0.38% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,801.31 จุด เพิ่มขึ้น 3.02 จุด หรือ +0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,825.98 จุด ขยับขึ้น 2.06 จุด หรือ +0.03%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ค.) กลับไปยืนอยู่เหนือระดับ 25,000 จุดได้อีกครั้ง ด้าน S&P 500 ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 2,800 จุด และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หลังฤดูรายงานผลประกอบการได้เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว ซึ่งธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสก่อนตลาดเปิดทำการในวันศุกร์ ซึ่งผลออกมามีทั้งที่ดีกว่าคาดการณ์และแย่กว่าคาด
+/• สหรัฐฯกลับลำ การค้าสหรัฐ-อังกฤษยังเป็นไปได้
  # ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้กลับลำบอกว่า ข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหรัฐยังคงเป็นไปได้ จากที่ก่อนหน้านี้เพิ่งแสดงความเห็นโจมตีแผน "ซอฟต์เบร็กซิต" ว่าอาจทำลายข้อตกลงการค้าอังกฤษ-สหรัฐ ยังผลให้เงินปอนด์กลับมาแข็งค่าขึ้น
• จีนเปิดเผย GDP ไตรมาส 2 วันนี้ คาดชะลอลงเล็กน้อย
  # นักลงทุนในตลาดการเงินจับตาสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561 ในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่า GDP ไตรมาส 2 ของจีนจะขยายตัวราว 6.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี
  # ทั้งนี้ หากตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ขยายตัวตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นการชะลอตัวลงจากระดับ 6.8% ในไตรมาส 1 อย่างไรก็ตาม GDP ยังคงขยายตัวสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ตลอดปีที่ระดับ 6.5%
+/- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สหรัฐลด และ ดัชนีนำเข้า-ส่งออก สัญญาณผสม (Mix)
  # ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 97.1 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.2 โดยได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า
  # ดัชนีนำเข้า-ส่งออก มิ.ย. ด้อยลง เทียบ พ.ค. แต่หากเทียบรายปียังปรับขึ้นสูง
+ กระแสการต่อต้านประธานาธิบดี ทรัมป์ สำหรับนโยบายกีดกันการค้าทวีมากขึ้น
  # นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุมาร์เก็ตเพลสเมื่อวานนี้ว่า การที่คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าในระดับสูงนั้น จะส่งผลกระทบในด้านลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
  # เลขาธิการ UN เชื่อว่า สหรัฐและจีนไม่ได้อยู่ในสถานะการทำสงครามการค้าอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการค้าเพียงแต่มีการออกมาตรการต่างๆออกมาเป็นจำนวนมาก พร้อมกับแสดงความหวังว่า ข้อพิพาททางการค้าจะสามารถแก้ไขได้ "ผ่านการเจรจาและการคำนึงถึงบทบาทขององค์การการค้าโลก (WTO)"
+/• จีนส่งสัญญาณสงบศึก แต่ยังต้องรอดูท่าที
  # นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากจีนยังไม่ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ แม้ว่าคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้าน ดอลลาร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมาก็ตาม
  # นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะจัดการเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน โดยนายหวัง ชูเหวินรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่า จีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
+ "มนูชิน" เผยจีนต้องให้คำมั่นเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจก่อนสหรัฐ-จีนเปิดฉากเจรจายุติสงครามการค้า
  # นายมนูชินยังกล่าวด้วยว่า ตนเองและคณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมที่จะเจรจาการค้ากับจีน พร้อมระบุว่า สหรัฐไม่มีจุดประสงค์ที่จะสนับสนุนนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้า แต่สนับสนุนนโยบายการค้าที่เป็นธรรม
  # ถ้อยแถลงของนายมนูชินมีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนได้ส่งสัญญาณยุติสงครามการค้า ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีรอบใหม่ โดยนายหวัง ชูเหวิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่สหรัฐร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า ผ่านทางการเจรจาทวิภาคีรอบใหม่ และระบุว่าจีนไม่ต้องการทำสงครามการค้า ขณะที่มีรายงานว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ก็เต็มใจที่จะหันหน้าเจรจากับจีนเช่นกัน
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมันปรับขึ้น มีการเก็งกำไรหลังลงไปมาก
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ปรับตัวขึ้น 68 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 71.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์ราคาสัญญาร่วงลง 3.8%
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 88 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 75.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ลดลง 2.3% ตลอดสัปดาห์
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ค.) จากคำสั่งซื้อเก็งกำไร แต่รวมทั้งสัปดาห์ สัญญาน้ำมันร่วงลงอย่างหนัก จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่ลิเบียกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้ง ประกอบกับการคาดการณ์ที่ว่าอิหร่านจะยังคงสามารถส่งออกน้ำมัน แม้เผชิญกับการคว่ำบาตรจากสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนยังคงซึมซับรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่เตือนว่า การที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพิ่มการผลิตอาจกระทบกำลังการผลิตส่วนเกินในตลาด ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์เผยแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐมีจำนวนคงที่ในสัปดาห์นี้
• ทองคำ : ปรับลง เพราะดอลลาร์แข็งค่า
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 5.4 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 1,241.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวลดลง 1.2% ซึ่งเป็นการลดลงสัปดาห์ที่ 4 ในรอบ 5 สัปดาห์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนอกจากนี้ ราคาทองยังถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+ กบข.เล็งเพิ่งน้ำหนักลงทุนหุ้นในช่วง 2H61 มองราคาลงต่ำ
  # นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.มีโอกาสเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาและภาวะตลาดที่เหมาะสม หลังจากที่ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 61 ลงมาเหลือ 7% จากเดิม 9% ขณะที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ 4% และตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว 8% และถือครองพันธบัตรไม่ต่ำกว่า 60% โดยปัจจุบัน กบข.มีการบริหารสินทรัพย์รวม 8.6 แสนล้านบาท
+ "สมคิด" เผยความเชื่อมั่นนักลงทุนญี่ปุ่นต่อเศรษฐกิจไทยพุ่ง
  # ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า ประธาน JETRO ได้เข้าพบ และรายงานผลสำรวจตัวเลขทางเศรษฐกิจความเชื่อมั่นของนักธุรกิจญี่ปุ่นต่อประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 โดยพบว่าตัวเลขพุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2560 กว่า 23% และเป็นสำรวจที่ดีที่สุดในรอบหลายปี อีกทั้งตัวเลขของการสำรวจยังบ่งบอกว่าในช่วงปีหลังเศรษฐกิจระหว่างประเทศจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นไปตามนโยบายการดำเนินการของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ทางการญี่ปุ่นยังแสดงความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ต่อกรณีการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และประเด็นที่มีการพูดคุยในวันนี้ทางการญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เพิ่มขึ้นจำนวนมาก
  # ผลกระทบ: หลักทรัพย์ที่แนะนำ ซื้อ ใน Theme EEC คือ WHA ราคาพื้นฐาน 4.72 บาท
+ สทท. ลุ้นจำนวนนทท.สิ้นปีนี้แตะ 39 ล้านคน จากเป้า 37 ล้านคน
  # นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คาดว่า จะสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2561 ได้เป็นจำนวนรวมถึง 39 ล้านคน จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 37 ล้านคน หากสถานการณ์ต่างๆ ยังเป็นไปในทิศทางที่ดีเหมือนในปัจจุบัน
  # ปัจจัยบวกของภาคการท่องเที่ยวที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือแม็กเน็ตทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อาทิ โปรเจ็คยักษ์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างไอคอนสยาม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นจิ๊กซอร์สำคัญอีกตัวหนึ่ง ที่มาช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับการท่องเที่ยวของประเทศไทย และดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี
  # ผลกระทบ: คาดว่าอุบัติเหตุภูเก็ต อาจจะกระทบบรรยากาศการท่องเที่ยว และทำให้นักท่องเที่ยวรายสำคัญคือ จีนลดลงได้ แต่ด้วยคุณสมบัติที่ดีในเรื่องการท่องเที่ยวไทย จะกลับสู่ภาวะปกติได้ในระยะกลาง-ยาว แนะนำทยอยสะสมหลักทรัพย์พื้นฐานดีคือ AOT, AAV, CENTEL, ERW และ MINT
-พาณิชย์คาดส่งออกไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมสงครามการค้าในช่วงไตรมาส 4/61
  # น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า การส่งออกของไทยน่าจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าโลกในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงการสั่งซื้อสินค้า และมาตรการที่สหรัฐฯ และจีนขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกันทยอยมีผลบังคับใช้จะทำให้หลายประเทศที่ไทยส่งออกสินค้าไปขายได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯใช้มาตรการกีดกันทางการค้า
  # อย่างไรก็ตาม ปีนี้การส่งออกไทยคงไม่น่าจะได้รับผลกระทบทางตรงจากสงครามการค้า และน่าจะเติบโตได้ 9% จากปีก่อน แต่ต้องจับตาอีกปัจจัยเสี่ยง คือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ลดลงมาอยู่ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งจะกระทบต่อสินค้าในกลุ่มเกี่ยวข้องกับน้ำมัน
+ กระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับเป้าส่งออกปีนี้เป็น 9% จากเดิม 8%
  # นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับเป้าหมายมูลค่าการส่งออกไทยในปีนี้ใหม่ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9% จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8% เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น และการทำงานอย่างหนักร่วมกับผู้ส่งออกในการผลักดันการส่งออก แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องสงครามการค้าโลกก็ตาม
+ ธนาคารแห่งประเทศไทย เชื่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเห็นแนวโน้มฟื้นตัวดีต่อเนื่อง
  # ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงแนวทางการสร้างการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยล่าสุดเป็น 4.4% สอดคล้องกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้ สูงถึง 4.8% โดยเห็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ
+ SPALI ยันเข้าซื้อหุ้น MK แม้เทนเดอร์ฯอาจได้หุ้นน้อยกว่า 25%
  # ที่ประชุมบอร์ด 13 ก.ค.2561 มีมติเอกฉันท์ให้ยกเลิกเงื่อนไขในการรับซื้อสำหรับการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดใน MK โดยสมัครใจ ของ SPM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยนั้น ซึ่งเดิมกำหนดว่า SPM จะยกเลิกคำเสนอซื้อ หากเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วมีผู้เสนอขายน้อยกว่า 25% เป็นไม่มีเงื่อนไขขั้นต่ำในการเสนอซื้อดังกล่าว
  # เพราะบริษัทเห็นว่าการเข้าทำรายการดังกล่าวจะทำให้บริษัทสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้กับ MK อันจะช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัท ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งกับบริษัท MK และผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทโดยรวม
  # ผลกระทบ: เป็นบวก เพราะเชื่อว่าทั้ง SPALI และ MK จะได้รับประโยชน์จากการนี้ ด้าน SPALI หากในอนาคตการลงทุนใน MK สำเร็จ มูลค่าหุ้นก็จะยิ่งสูงขึ้น ได้รับกำไรเพิ่ม ส่วน MK ก็จะมี SPALI ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจอสังหาฯเข้าไปช่วยบริหาร ก็จะทำให้กิจการมีโอกาสเติบโตได้สูงขึ้น สำหรับราคาหุ้น SPALI ไม่ไปไหน แต่หุ้น MK ปรับขึ้นจนเกินกว่าราคาเทนเดอร์ฯที่ 4.10 บาท เล็กน้อยเป็น 4.12 บาท เนื่องจากยังต่ำกว่า Book Value ที่ 6.66 บาท และได้ผลดีจาก SPALI เข้ามาช่วยบริหาร คงคำแนะนำ ถือ SPALI ที่ราคาพื้นฐาน 25.50 บาท แต่ MK ไม่ได้ทำการวิเคราะห์ (Not Rated)
+ สินค้าโภคภัณฑ์: ถั่วเหลือง ราคาต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และข้าวโพดก็มีราคาลดลง
  # ภาวะตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT เมื่อวันศุกร์ (13 ก.ค.) สัญญาถั่วเหลืองปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ
  # สัญญาถั่วเหลืองยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) เปิดเผยรายงานประมาณการอุปสงค์และอุปทานสินค้าเกษตรทั่วโลก โดยระบุว่ายอดส่งออกถั่วเหลืองอยู่ที่ระดับ 2.04 ล้านบุชเชล ลดลงจากตัวเลขประมาณการในเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 2.29 ล้านบุชเชล นอกจากนี้ USDA ยังได้ปรับเพิ่มประมาณการสต็อกถั่วเหลือง ณ สิ้นสุดปีการตลาด 2561-2562 สู่ระดับ 580 ล้านบุชเชล จากระดับ 385 ล้านบุชเชล
  # ส่วนสัญญาข้าวโพดร่วงลงจากรายงานที่ว่า สภาพอากาศในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก
  # ผลกระทบ: เป็นผลดีกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ และใช้อาหารสัตว์ เช่น CPF (แนะนำ ถือ ราคาพื้นฐาน 24.00 บาท), TFG (Not Rated) และ GFPT (แนะนำ ถือ ราคาพื้นฐาน 12.80 บาท) เพราะมีต้นทุนในการผลิตที่ลดลง และเป็นประโยชน์กับ TVO (Not Rated) เพราะวัตถุดิบถั่วเหลืองมีราคาต่ำลง ขณะที่ราคาสินค้ายังอยู่ในภาวะปกติ
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
  # หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น


บันทึกโดย : วันที่ : 16 ก.ค. 2561 เวลา : 10:00:53

20-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 20, 2024, 10:55 pm