ผ่านพ้นไปหมาดๆ สำหรับการประกาศผลรางวัลออสการ์ ซึ่งเราได้ทราบกันแล้วว่าใครได้รับรางวัลอะไรกันไปบ้าง อย่างไรก็ตาม เราจะขอทบทวนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึนในวันประกาศผลรางวัลออสการ์ในปีที่ีผ่านมากันบ้าง
ไม่ยอมรับรางวัล
ปกติรางวัลออสการ์เป็นรางวัลที่ปรารถนาของคนในวงการบันเทิงส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ผู้กำกับ หรือใครก็ตาม อย่างไรก็ตาม ก็มีเหตุการณ์ที่บางคนเมินรางวัลออสการ์มาแล้ว
คนแรกคือ ดัดลีย์ นิโคลส์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ที่ได้รับการประกาศชื่อคว้ารางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง "The Informer" เมื่อปี 1936 แต่เจ้าตัวปฎิเสธที่จะรับรางวัล เพราะตอนนั้นทาง Screen Writers Guild ซึ่งเป็นองค์กรของนักเขียนบทภาพยนตร์ กับ Academy of Motion Picture Arts and Sciences ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดงานประกาศผลรางวัลออสการ์เกิดขัดแย้งกัน
หลังจากนั้นในปี 1972 มาร์ลอน แบรนโด ก็ส่งตัวแทนไปรับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง "The God Father" เมื่อ ปี 1972 เป็นสาวน้อยในชุดอินเดียนแดง ที่มีการเปิดเผยชื่อภายหลังว่า "ชาชีน ลิตเติลเฟทเธอร์" หรือ " แมรี ครูช" โดยเธอกล่าวแถลงการณ์ เรียกร้องความยุติธรรมต่อวิธีปฏิบัติของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อชนชาวพื้นเมือง รวมถึงประท้วงต่อการเสนอภาพของอินเดียแดงในสื่อภาพยนตร์ และโทรทัศน์ที่ผิดจากความเป็นจริงมาโดยตลอด นอกจากนั้น แบรนโด ยังเขียนแถลงการณ์ความยาว 15หน้า เพื่อให้ ลิตเติลเฟทเธอร์ กล่าวบนเวทีในวันนั้น แต่โปรดิวเซอร์ได้ขู่สาวอเมริกันพื้นเมืองว่าเธอไม่มีสิทธิ์พูดอะไรที่ยาวเกิน 60 วินาที แถลงการณ์จึงถูกอ่านในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนด้านหลังเวที
อีกคนที่ไม่ยอมรับรางวัลคือ "จอร์จ ซี สกอตต์" ที่ได้รับรางวัลสานักแสดงนำชายดจากภาพยนตร์เรื่อง "Patton" เมื่อปี 1971 เหตุผลที่เขาไม่รับรางวัลเพราะเขาไม่ชอบระบบการลงคะแนนของออสการ์ และรู้สึกว่ามีการเมืองเข้าแทกแซง เขาเรียกการประกาศผลรางวัลออสการ์ว่า "a two-hours meat parade" หรือ "สองชั่วโมงแห่งพาเหรดเนื้อ" ซึ่งวันที่มีการประกาศผลรางวัลออสการ์นั้น เขาอยู่ที่บ้านและชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฮ็อกกี้ทางโทรทัศน์
เดินรับรางวัลไกลที่สุด
" แฮทที แม็คแดเนียล" สร้างประวัติศาสตร์ให้กับการประกาศผลรางวัลออสการ์ เมื่อเธอเป็นนักแสดงผิวดำคนแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์ โดยเธอได้รับในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จากบท แมมี ในภาพยนตร์คลาสสิคเรื่อง Gone With The Wind อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เราดีใจที่ไม่มีการกีดกันนักแสดงผิวดำเรื่องการรับรางวัล แต่ก็น่าเศร้าเช่นกัน ที่ตอนนั้นยังมีเรื่องของการเหยียดผิวอยู่มาก โดยวันนั้นเธอต้องนั่งอยู่หลังห้องจัดงาน ไม่ได้นั่งร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆที่เล่นเรื่อง Gone With The Wind ด้วยกัน ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า เธอต้องเดินจากหลังห้องเพื่อรับรางวัล และคำกล่าวรับรางวัลครั้งนั้นได้รับการยกย่องว่าจับใจและดีที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึง และเธอก็เป็นคนที่เดินมารับรางวัลในระยะทางไกลที่สุดในประวัติศาสตร์
ไม่ให้นุ่งสั้น
เอดิธ เฮด ดีไซเนอร์ชื่อดังได้กล่าวไว้ในหนังสือ How to Dress for Success ว่าแม้ว่า มาร์ลีน ดีทริช จะเป็นนักแสดงที่มีขาสวยที่สุดแต่เธอจะดูดียิ่งขึ้นถ้าใส่เครื่องแต่งกายคลุมเข่า ซึ่งเพราะ เฮด เป็นที่ปรึกษาของออสการ์ เลยแบนมินิสเกิร์ตในงานประกาศผลรางวัลออสการ์เมื่อปี 1967
เปลือยเปล่าบนเวที
ไม่เพียงแต่ในการแข่งขันกีฬาที่เรามักจะได้เห็นตัวป่วนแก้ผ้าวิ่งในระหว่างการแข่งขันให้เจ้าหน้าที่สนามมาลากตัวออกไป ในเวทีการประกาศผลออสการ์ก็เคยมีตัวป่วนแก้ผ้าเข้ามาในงาน ตัวป่วนคนนั้นคือ "โรเบิร์ต โอเพล" ช่างภาพและเจ้าของแกลอรี เกิดนึกอย่างไรไม่ทราบ แก้ผ้าขึ้นบนเวทีออสการ์ใอปี 1974 ขณะที่ เดวิด ไนเวน นักแสดงชื่อดังกำลังทำหน้าที่พิธีกรบนเวทีอยู่ งานนี้เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้พอสมควร ส่วน ไนเวน ก็ทำหน้าที่ต่อไปชนิดมีแอบขำด้วย
เกือบโดนแบน
ในวันประกาศผลออสการ์ ซาชา บารอน โคเฮน ทำเก๋ด้วยการใส่ชุดสไตล์ผู้นำเผด็จการตามแบบภาพยนตร์เรื่อง The Dictator ที่เขาแสดงนำ มาไม่มาเปล่า เขายังมาพร้อมกับสาวสวยสองคนพร้อมกับถือโถที่อ้างว่าใส่อัฐิของอดีตประธานาธิบดีคิม จอง อิล ของเกาหลีเหนือที่ในตอนนั้นเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เขาให้สัมภาษณ์ไรอัน ซีเครสต์ พิธีกรโทรทัศน์ว่า คิม จอง อิล มีความปรารถนาครั้งสุดท้ายว่า อยากเฉิดฉายบนพรมแดงและอยู่ในอ้อมกอดของนักแสดงหญิงฮัลลี แบร์รี เขาแกล้งทำโถอัฐิคว่ำใส่พิธี จนทำให้ทักซิโดของพิธีกรเลอะฝุ่นสีขาวเต็มไปหมด เดือดร้อนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องมาช่วยกันพาเขาออกไปจากงาน ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าคณะผู้จัดงานออสการ์ห้ามโคเฮน มาร่วมงาน แต่ภายหลังก็ยินยอมให้เข้างานจนได้ เรียกว่าวีรกรรมนี้ของเขาเป็นที่วิพากษ์กันไปทั่วโลกว่าแรงและไม่เหมาะสม
ราคาหุ่นอันน้อยนิด
เพื่อไม่ให้ผู้ได้รับรางวัลออสการ์หาประโยชน์จากตัวรางวัลออสการ์ที่ได้รับมานาน ทำให้ทางผู้จัดการประกาศผลรางวัลออสการ์ทำสัญญาฉบับหนึ่งขึ้นมาว่า ถ้าใครคิดจะเอาตัวหุ่นรางวัลออสการ์ที่ได้มามาขาย ต้องมาขายกับทาง "Academy of Motion Picture Arts and Sciences" ซึ่งเป็นผู้จัดการประกาศผลรางวัลออสการ์เท่านั้น และจะขายในราคา 1 ดอลลาร์ สหรัฐฯ เท่านั้น
ว่าด้วยหุ่นรางวัลออสการ์
ตัวหุ่นออสการ์ที่เป็นรางวัลสำหรับบุคคลในวงการบันเทิงตอนนี้มีขนาดยาว 13.5 นิ้ว น้ำหนัก 8.5 ปอนด์ หรือ 3.85 กิโลกรัม ซึ่งทำจากบริทานเนียมชุบด้วยทองคำบนฐานโลหะสีดำ ซึ่งถือว่าเป็นของที่มีค่าทั้งทางตัวเงินและคุณค่าทางใจ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะถิดเช่นนี้ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นว่ากันว่ารางวัลทำจากปูนปาสเตอร์ แต่สงครามโลกยุติ ผู้ชนะจึงมาเปลี่ยนรางวัลเป็นหุ่นที่เป็นทอง และก่อนหน้าช่วงปีคริสต์ศตวรรษ 1950 นักแสดงรุ่นเยาว์ที่คว้ารางวัลออสการ์จะได้ตัวรางวัลที่มีขนาดเล็กกว่าของผู้ใหญ่ ซึ่งเหตุผลไม่ใช่เพราะเด็กตัวเล็กกว่าจะถือตัวใหญ่ลำบากเวลารับรางวัล แต่เพราะความคิดของผู้จัดงานว่าไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องแข่งกับเด็กๆ และที่ต้องจารึกคือปี 1938 ที่ เอ็ดการ์ เบอร์เกน นักแปลงเสียงตนเองและ ชาร์ลี หุ่นของเขา ได้รับรางวัลพิเศษในเวทีออสการ์เป็นหุ่นออสการ์ที่ขยับปากได้
ออสการ์ในช่วงสงคราม
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจที่แม้ในภาวะสงคราม การประกาศผลรางวัลออสการ์ก็ยังมีอยุ่ อย่างในปี 1944 ที่เป็นช่วงของสงครามโลก ก็ยังมีการประกาศผลรางวัลออสการ์ โดยครั้งนั้นจัดเป็นครั้งที่ 16 ที่ Grauman’s Chinese Theater ซึ่งเป็นครั้งแรกที่งานประกาศผลรางวัลออสการ์จัดขึ้นในที่สาธารณะขนาดใหญ่ โดยทหารทั้งชายและหญิงบางคนก็ได้ตั๋วชมฟรีด้วย
ออสการ์ของออสการ์
ในประวัติศาสตร์ของออสการ์ "วอลท์ ดิสนีย์" เป็นผู้ได้รับรางวัลมากที่สุดคือ 26 ตัว ซึ่งไม่รู้ว่าในอนาคตอีกนานแค่ไหนถึงะมีคนทำลายสถิติของเขาได้ ขณะที่ เควิน โอ โดเนลล์ กลับมีสถิติไม่สวยงามเท่าไหร่ เพราะได้รับการเสนอชื่อเขาชิงรางวัลถึง 20 ครั้ง แต่ไม่ได้รางวัลเลย อย่างไรก็ตาม รางวัลออสการ์นี้ มีคนที่ชื่อออสการ์เพียงคนเดียวที่เคยได้รับรางวัลนี้คือ ออสการ์ แฮมเมอร์สตีน ที่ได้รับรางวัลออสการ์มาสองครั้ง
บรรยายภาพ
สการ์ ซาชา บารอน โคเฮน เกือบโดนแบนเพราะมุกตลกร้ายของเขาเอง
แฮทที แม็คแดเนียล เป็นนักแสดงผิวดำคนแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์ และเธอก็เป็นคนที่เดินมารับรางวัลในระยะทางไกลที่สุดในประวัติศาสตร์เพราะการถูกเหยียดผิว
ข่าวเด่น