แฟชั่น-เดินทาง-กินดื่ม-เที่ยว
เยือน "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" แห่งแรก..แห่งเดียวของไทย




“ตั้งนะโม…3 จบ

คะรุปิจะ กิติมันตัง มะอะอุ โอมพญาครุฑ รุจ รุจ แล้วรวย นะได้เงิน นะได้ทอง นะได้ทรัพย์ นะเมตตา นะเจริญ นะมั่นคง นะล้างอาถรรพ์ อฐิฐามิ”

นี่คือ บทสวดบูชาองค์ครุฑ สำหรับใช้สักการะองค์ครุฑใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่หน้า “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” ที่หลายคนอาจไม่ทราบว่า มีอยู่ในประเทศไทย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กำลังก่อกำเนิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารธนชาติ เขตเทศบาลตำบลบางปู จ.สมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยและอาเซียน โดยได้เริ่มเปิดให้บริการเข้าชมแล้วในรูปแบบหมู่คณะย่อยและมีเจ้าหน้าที่เดินอธิบายเรื่องราวในแต่ละจุดให้ฟัง

 

มรดกหลังควบรวมกิจการ

 

“พิพิธภัณฑ์ครุฑ” แห่งแรกแห่งเดียวของไทยนี้ถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่ ธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน)ได้เข้าควบรวมกิจการของธนาคารนครหลวงไทยเมื่อวันที่  1 ตุลาคมปี 2554 ซึ่งธนาคารนครหลวงไทยเป็นธนาคารเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ดำเนินกิจการมากว่า  70 ปีและได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเครื่องหมายครุฑพ่าห์หรือตราครุฑพระราชทานมาติดตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่และที่สาขามานับตั้งแต่ปี 2484 แต่หลังการควบรวมกิจการจำเป็นต้องอัญเชิญเครื่องหมายครุฑพ่าห์คืนให้กับสำนักพระราชวัง ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายครุฑพ่าห์ ปี  2534 ที่บัญญัติให้บุคคล ห้างร้านหรือบริษัทนั้น ๆต้องคืนตราตั้งเมื่อเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้กับผู้อื่น

อย่างไรก็ตามทางธนาคารธนชาติ ได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญขององค์ครุฑพระราชทาน ที่มีความผูกพันและความศรัทธามายาวนานกับคนไทยและยังเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ของไทย จึงเห็นสมควรจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑขึ้น

นายวิชา กุลก่อเกียรติ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารและบริหารแบรนด์ ธนาคารธนชาติ ได้เล่าว่า หลังควบรวมกิจการได้อัญเชิญครุฑที่ประดิษฐานอยู่ที่ธนาคารสาขาต่าง ๆ ของธนาคารนครหลวงไทยลง ซึ่งมีอยู่มากกว่า  400 องค์และพบว่า มีครุฑที่ทำจากไม้สักเป็นจำนวนมากที่มีความสวยงามตามกาล หลากหลาย  ซึ่งครุฑแต่ละองค์ยังมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสถานที่ สะท้อนความตั้งใจของศิลปินในสมัยก่อนที่ต้องการเก็บกลิ่นอายของทำเลนั้น ๆ ไว้ เช่น ครุฑของสาขาธนาคารนครหลวงไทยเยาวราช ที่เป็นเขตไชน่าทาวน์หรือย่านที่อยู่อาศัยของชาวไทยเชื้อสายจีน ลักษณะครุฑจะออกสไตล์จีน ๆ มีการสวมหมวกแบบจีนและมีลักษณะหางตาเฉียงขึ้น เป็นต้น  

 

ดังนั้นหากเก็บไว้เฉย ๆ ก็คงไม่มีประโยชน์ จึงมีแนวคิดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้าชมในเชิงลึกถึงคุณค่าของครุฑที่ถือเป็นสัตว์วิเศษและเป็นเสมือนตัวแทนของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เพียงมาชมความสวยงามของครุฑที่เก็บรวบรวมไว้เพียงอย่างเดียว โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัท RIGHTMAN จำกัดที่มีผลงานสร้างชื่ออย่าง "นิทรรศน์รัตนโกสินทร์" ซึ่งเป็นการแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ที่ถนนราชดำเนินกลางมาช่วยสร้างสรรค์เนื้อหาและออกแบบพิพิธภัณฑ์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับครุฑในทุก ๆ ด้าน อีกทั้งความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมอีกหลายท่าน 

“ครุฑรุ่นเก่าจะเป็นการแกะสลักจากไม้สัก แต่รุ่นใหม่จะเป็นไฟเบอร์ ไม่มีการใช้โลหะทำเพราะหนักเกินไปไม่เหมาะสำหรับขึ้นไปแขวนหน้าอาคาร ส่วนลักษณะครุฑแต่ละองค์จะมีลักษณะลีลาแตกต่างกันไป บางองค์สมบูรณ์ บางองค์รูปร่างเพรียว สะโอดสะอง เวลานี้ยังไม่ได้เปิดทีเดียว แต่สามารถรับเป็นกลุ่มย่อย ๆเข้าชมได้ นอกจากนี้ยังต้องค่อย ๆ ปรับปรุงไปเรื่อย ๆ เช่น ฝึกคนบรรยาย เป็นต้น รวมถึงอาจจะมีการรวบรวมครุฑเพิ่มจากหลายที่ รวมถึงจากต่างประเทศ ”

ตำนาน“ครุฑ” สัญลักษณ์พระมหากษัตริย์ไทย

อาจารย์ประสาท ทองอร่าม(ครูมืด) ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย กรมศิลปากรและมีผลงานด้านวัฒนธรรมระดับประเทศมากมายได้บอกเล่าตำนาน “ครุฑ” หรือพระยาสุบรรณและอีกหลายชื่อว่า ครุฑเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสัตว์ประเสริฐ เหนือยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ปถุชนคนธรรมดาในป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นป่าในวรรณคดีและความเชื่อในเรื่องไตรภูมิตามคติศาสนาพุทธ-ฮินดูโดยเชื่อว่าตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ครุฑเป็นสิ่งใกล้ตัวและผูกพันกับเราทั้งในด้านวรรณคดี พุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งคู่สถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากเครื่องแต่งกายของข้าราชการสมัยรัชกาลที่ 5 เสื้อราชปะแตนมีเครื่องหมายพญาครุฑอยู่ที่กระดุมด้านหน้า

นอกจากนี้ยังมีภาพจิตรกรรมต่าง ๆ ที่จินตนาการองค์นารายณ์ทรงสุบรรณ หรือองค์นารายณ์ทรงครุฑเป็นพาหนะ ครุฑจึงถือเป็นพาหนะของพระมหากษัตริย์ไทยด้วยตามความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์ถือเป็นองค์สมมุติเทพหรือสืบเชื้อสายมาจากพระนารายณ์ที่เสด็จอวตาลลงมาปกป้องดูแลรักษาพสกนิกรและประเทศชาติ ซึ่งความจริงแล้วพระมหากษัตริย์ผูกพันไปถึงเทพเจ้า 3 องค์ซึ่งถือเป็นมหาเทพได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์(พระพิษณุหรือพระกฤษณะ)และพระพรหม มีฤทธิ์และศักดิ์เท่าเทียมกัน แต่อาจมีการยกเทพองค์ใดองค์หนึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดต่างกันไปในแต่ละตำนานหรือลัทธิ เช่น ไศวะนิกายยกพระอิศวรหรือพระศิวะเป็นใหญ่

อาจารย์ประสาท เล่าว่า องค์พญาครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค แต่ไม่ถูกกัน เป็นศัตรูกัน เจอหน้ากันเป็นต้องห้ำหั่นต่อสู้กันและครุฑจะต้องชนะทุกครั้งไป ซึ่งมีความเป็นมาในตำนานยาวนานและทั้งพญาครุฑและพญานาคจึงมีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์ทั้งคู่ โดยทั้งสองเป็นบุตรของฤาษีชื่อว่า “พระกัศยปะฤาษี” พระประชาบดีที่ยิ่งใหญ่ มารดาพญาครุฑมีชื่อว่า “นางวินตา” เป็นพี่สาวของมารดาพญานาคที่มีชื่อว่า “กัทรุ” ซึ่งแม้จะเป็นพี่น้องกันร่วมท้องเดียวกันก็ไม่ค่อยปรองดองกันนักจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดพญาครุฑและพญานาคที่เป็นอริต่อกัน พระกัศยปะฤาษีให้ขอพรแก่ชายาตามที่ปรารถนา พระนางวินตาขอพรให้มีลูกเป็นชาย  2 คนและยังแอบกระซิบว่า ขอให้มีฤทธิ์เหนือกว่าลูกของนางกัทรุ

ต่อมาพระนางวินตาได้ลูกออกมาเป็นไข่  2 ฟองแต่ยังไม่ฟัก ขณะที่ไข่ของนางกัทรุมีฟองเดียวฟักก่อนออกมาเป็นพญานาค นางวินตาด้วยความใจร้อนอยากให้ลูกถือกำเนิดมาเร็ว  ๆจึงทุบไข่ฟองหนึ่งก่อน ทำให้ลูกที่กำเนิดกำหนดต้องพิการไม่มีขาตั้งแต่ส่วนต้นขา มีชื่อว่า พระอรุณ พระอรุณจึงโกรธแค้นและสาปให้นางวินตาผู้เป็นมารดาใช้หนี้กรรมด้วยการตกเป็นทาสของนางกัทรุนาน  500 ปี ครบแล้วให้น้องที่อยู่ในไข่อีกฟองหนึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือ หลังจากนั้นพระอรุณได้ไปเป็นสารถีของพระอาทิตย์

หลังจากนั้นการณ์ก็เป็นไปตามคำสาป เมื่อสองนางอยู่ว่าง ๆ ไม่ได้ทำอะไรได้ทายปัญหากันที่เป็นสาเหตุให้นางวินตาต้องไปเป็นทาสของนางกัทรุ โดยนางกัทรุทายว่า ม้าของพระอาทิตย์มีกายสีอะไร? นางวินตาตอบว่า สีขาว แต่นางกัทรุทายว่ามีสีดำ พอทายไปแล้วมารู้ความจริงทีหลังว่ามีสีขาว จึงให้ลูกของตนแปลงกายเป็นขนสีดำไปแซมอยู่ จึงทำให้มองเห็นเป็นสีดำ นางวินตาจึงแพ้ด้วยกลอุบายของนางกัทรุและตกเป็นทาสของนางกัทรุ  500 ปี หลังจากนั้นไข่อีกฟองของนางวินตาได้ฟักออกมาเป็นพญาครุฑตามคำสาปว่าต้องมาทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้เป็นมารดา

“พญาครุฑเมื่อแรกถือกำเนิดออกมา มีเสียงกึกก้องกัมปนาทไปทั่วจักรวาล มีแสงสุกสว่างไปทั่ว ทำให้เหล่าเทวดาตกใจเกรงกลัวมากนึกว่า พระอัคนีพิโรธ แต่ต่อมาพระอัคนีได้ออกมาบอกว่า ไม่ใช่ แต่เกิดจากไข่อีกฟองหนึ่งของพระนางวินตาฟักออกมาแล้วชื่อว่า พญาครุฑหรือพระยาสุบรรณ ซึ่งสุบรรณแปลว่า ผู้ที่มีพรหมวิหาร

ลักษณะของพญาครุฑ มีศีรษะ จะงอยปากและปีกเหมือนพญานกอินทรีย์ มีร่างกายและแขนเป็นมนุษย์ บางตำนานว่าเท้ามีส่วนเป็นนก บางตำนานว่าเท้าเหมือนมนุษย์ เช่น พญาครุฑในเรื่องกากี ลำตัวใหญ่มาก 150 โยชน์ ปีกยาว 50 โยชน์ จะงอยปาก 9 โยชน์ กระพือปีกบินได้ครั้งละหลายร้อยโยชน์ ถ้ากระพือปีกเต็มที่สามารถทำให้โลกหยุดหมุนได้ สามารถบินข้ามไปที่ไหนได้เร็วมาก”

พญาครุฑยังเป็นเทพเจ้าแห่งความกตัญญูด้วยโดยยอมเป็นทาสของพญานาคด้วย วันหนึ่งนางกัทรุอยากไปเที่ยวจึงให้นางวินตาอุ้มข้ามมหาสมุทร ส่วนพญาครุฑพาพญานาคและบริเวณนาคข้ามมหาสมุทร ต่อมาพญาครุฑสงสัยว่าทำไมตนและมารดาจึงต้องมาเป็นทาสและสอบถามรู้ว่า เพราะเสียรู้ ทำอย่างไรถึงจะไถ่โทษได้ ซึ่งมีทางเดียวคือ ต้องไปนำ “น้ำอมฤต” ที่ได้จากพิธีกวนน้ำอมฤตมาหรือที่เรียกว่า พิธีกวนเกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนม

ตำนานเล่าว่า พิธีกวนน้ำอมฤตนี้สุดท้ายแล้วจะได้น้ำทิพย์พิเศษมาช่วยให้ทุกสรรพสิ่งเป็นอมตะได้ ซึ่งพิธีกวนสรรพสัตว์ทั่วไปต้องมาช่วยกัน โดยใช้ภูเขามันทรคิรีมาเป็นไม้กวน ใช้พญานาคเป็นสายโยงและช่วยกันชักโดยมีเทวดาและมนุษย์ชักทางหาง อสูรชักอยู่ด้านหน้า เพราะเทวดารู้ว่า ชักไปมาความร้อนจะเกิดและทำให้พญานาคพ่นพิษออกมา ดังนั้นเหล่าอสูรจะโดนพิษก่อน ซึ่งต้องทำกันไปชั่วกัปชั่วกัลป์ มีพระนารายณ์อวตาลมาเป็นเต่ารองรับเพื่อไม่ให้โลกทะลุ จนในที่สุดเมื่อได้มาแล้วพระนารายณ์หลอกลวงเหล่าอสูรให้ไปอีกทาง จึงมีแต่เทวดาที่มีชีวิตเป็นอมตะ

แต่มีอสูรอยู่ตัวที่แปลงตัวลอบไปดื่มน้ำอมฤตได้คือ ราหู กินไปได้ 1 หยดแต่พระจันทร์และพระอาทิตย์เห็นจึงฟ้องพระนารายณ์ ซึ่งได้ขว้างจักรตัดท่อนราหู แต่ไม่ตาย เหลือครึ่งท่อนเพราะได้กินน้ำอมฤตเข้าไป ด้านราหูแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ไปฟ้องจึงกินพระอาทิตย์และพระจันทร์เข้าไป แต่ตัวที่เหลือครึ่งท่อนทำให้กินเข้าไปและหลุดออกมา จึงเกิดเป็นตำนานจันทรคาสหรือสุริยคราสตามมา

ด้านเหล่าพญานาคเมื่อรู้ว่าได้น้ำอมฤตแล้วจึงให้พญาครุฑนาคไปขโมยน้ำอมฤตมา ด้วยความกตัญญูเพื่อความเป็นอิสระของแม่ พญาครุฑต้องบากบั่นต่อสู้มากมายเหลือเกินกว่าจะได้มา โดยต้องต่อสู้กับพระอินทร์ ต้องโดนพระวัชระหรือสายฟ้าขว้างใส่โดนขนร่วง

นอกจากนี้ต้องสู้กับพระนารายณ์ แต่ไม่มีใครแพ้ใครชนะ แสดงว่า พญาครุฑมีฤทธิ์ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับพระนารายณ์ จึงเป็นที่มาของการตกลงเป็นมิตรกันและให้สัตย์สัญญาต่อกันว่า “เมื่อพระนารายณ์ประทับอยู่ที่ไหน พญาครุฑต้องอยู่เหนือพระนารายณ์ แต่เมื่อพระนารายณ์จะไปไหน พญาครุฑต้องยอมเป็นพาหนะให้” ต่อมาพระนารายณ์ยังได้รู้อีกว่า พญาครุฑกตัญญู ต้องการนำน้ำอมฤตไปไถ่มารดาจากความเป็นทาส จึงให้พรให้พญาครุฑเป็นอมตะได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำอมฤตและพญาครุฑยังขอให้ตนเป็นศัตรูกับพญานาคไปชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ให้ตนเป็นผู้ชนะ จับพญานาคกินเป็นอาหารได้

เมื่อพญาครุฑได้น้ำอมฤตไปแล้ว ก็ไม่อยากให้พญานาคกินจึงขอพระนารายณ์ว่า ไม่อยากให้พญานาคกิน จึงสัญญากันว่า เมื่อเอาหม้อน้ำอมฤตไปให้แล้วให้พระอินทร์รีบขโมยกลับไป เหล่าพญานาคที่หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อเลี้ยงฉลองกลับมาตามหาหม้อน้ำอมฤตไม่เจอ เที่ยวตามหาเลียไปตามต้นหญ้าคาทำให้โดนหญ้าบาดลิ้น จึงเป็นที่มาของการที่พญานาคมีลิ้นเป็น 2 แฉก

เรื่องราวในตำนานเหล่านี้เองเป็นที่มาของการที่ “พญาครุฑ” สัตว์ประเสริฐที่เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์   เพราะพระมหากษัตริย์ถือเป็นพระนารายณ์ จะเห็นได้ว่า เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปไหน ราชรถ ราชยานจะมีธงครุฑนำหน้า เรือพระที่นั่งที่มีการทำถวายพระองค์คือ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณ แต่เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่ที่ไหน พระราชวังไกลกังวลที่หัวหิน จะต้องชักธงครุฑขึ้นอยู่เหนือพระที่นั่ง ตราต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองพิเศษจะเป็นสัตว์พิเศษ 2 ตัวคือ พญาครุฑ ที่มีหน้าสีขาว กายสีแดงและปีกสีทอง ส่วนอีกชนิดได้แก่ พระยาวานรสีขาวหรือหนุมาน นั่นเอง 

ท่องป่าหิมพานต์

สำหรับการจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วย  5 ห้อง ได้แก่ โถงต้อนรับ ครุฑพิมาน(ป่าหิมพานต์) นครนาคราช อมตะเจ้าเวหาและห้องจัดแสดงครุฑ

โถงต้อนรับ

ในส่วนของโถงต้อนรับนั้น เมื่อเดินเข้าไปจะพบสัญลักษณ์พิพิธภัณฑ์เด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องโถง ด้านขวามือเป็นกาพห์ห่อโคลงที่กล่าวถึงพญาครุฑในแง่มุมทางพุทธศาสนาที่ได้รับเกียรติจากยอดกวีแห่งยุครัตนโกสินทร์ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ประพันธ์ไว้ โดยถ่ายทอดความเป็นเทพของพญาครุฑที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระนารายณ์บนพื้นฐานของจักรวาล

โถงต้อนรับที่เป็นรูปวงกลมจะมีภาพหน้าสาขาต่าง ๆ ของธนาคารนครหลวงไทยที่ถ่ายทอดความประทับใจเก็บไว้ ด้านขวามือของโถงมีวีดีทัศน์แนะนำเรื่องราวและความสำคัญของพญาครุฑ โดยอาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นที่ปรึกษาในการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งนี้ด้วย รวมถึงการบอกเล่าประสบการณ์การปั้นครุฑจากศาสตราภิชานสัญญา วงศ์อร่าม จากภาควิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ครุฑพิมาน

ครุฑพิมานหรือ “วิมานแห่งครุฑ” เป็นการสร้างสรรค์ห้องจัดแสดงส่วนนี้ให้เป็นป่าหิมพานต์ตามความเชื่อว่า ถิ่นที่อยู่ของพญาครุฑ คือ ป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นดินแดนที่กำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิดศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์และฮินดี เมื่อเข้ามาห้องนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนได้ท่องไปในแดนหิมพานต์ มีการจำลองสัตว์ป่าวิเศษที่ปั้นเสมือนจริงและจัดวางตามทิศที่อยู่อาศัยจริงของป่าหิมพานต์

 

อีกสิ่งที่จะลืมไปเสียไปได้คือ ต้นมักกะลีผลหรือนารีผล พรรณไม้วิเศษในป่าหิมพานต์ ที่ออกผลมามีรูปร่างเหมือนสตรี เมื่อผลโตเต็มที่จะมีทรวดทรงองค์เอวดังสาวงามแรกรุ่น  งดงามปานเทพธิดา หรือการมีผลเป็นการมาจุติของเทพธิดานั่นเอง โดยความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผลจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนาง

 

นอกจากนี้ยังมีการจำลองสระอโนดาตอยู่ตรงกลางของห้องและการนำเข้าสู่ห้องจัดแสดงถัดไปโดยมีแม่น้ำมหานทีสีทันดรเชื่อมระหว่างห้องด้วย

นครนาคราช

ห้องนครนาคราชเป็นการเนรมิตอุโมงค์ทางเดินกว่า  10  เมตรให้กลายเป็นมหานครใต้น้ำ ทั้งสีสัน บรรยากาศและวัสดุที่เลือกใช้ เพื่อให้สมกับเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเจ้าแห่งสายน้ำอย่างพญานาค ซึ่งเป็นปรปักษ์ตลอดกาลของพญาครุฑ โดยในห้องมีจิตรกรรมฝาผนัง “ครุฑยุดนาค” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ของพญาครุฑและพญานาคที่เป็นศัตรูที่ถาวรต่อกัน

ห้องอมตะจ้าวเวหา

ภายในห้องนี้จะได้ชมสื่อมัลติมีเดียในรูปแบบแอนิเมชั่นที่ถูกฉายบนผนังโค้งครึ่งวงกลม โดยมีเรื่องราวที่แสดงถึงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของพญาครุฑในด้านความกตัญญูกตเวทิตา พละกำลังและความเสียสละและมีการนำองค์ครุฑจากสาขาต่าง ๆ ของธนาคารนครหลวงไทยบางส่วนมาประทับไว้ตามผนังของห้องนี้ เพื่อให้เสมือนเป็นการเหิรเวหาของพญาครุฑ

ห้องจัดแสดงครุฑ

เป็นห้องสำคัญที่ช่วยให้ผู้เข้าชมได้มองเห็นเสน่ห์ขององค์ครุฑพระราชทานว่า ไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามหรือท่วงท่าอันสง่างาม ทรงพลังอำนาจน่าเกรงขามแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังทรงคุณค่าและประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์ครุฑแต่ละองค์ ซึ่งจะเห็นได้จากการมีรูปร่างหน้าตา สีของผ้านุ่ง เครื่องทรงที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่องค์เดียว ด้วยที่ผ่านมาไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่กำหนดลักษณะครุฑตายตัว

 

ขณะเดียวกันองค์ครุฑพระราชทานทุกองค์ที่อัญเชิญมาประดิษฐานในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีความเก่าแก่แตกต่างกันไปตามอายุของแต่ละสาขาของธนาคารนครหลวงไทย โดยองค์ที่เก่าแก่ที่สุดได้แก่ จากสาขาแรกของธนาคารดังกล่าว ซึ่งได้แก่ สาขาราชดำเนิน ที่มีอายุประมาณ  70 ปี

 

   

ส่วนครุฑองค์ใหญ่ที่สุดเป็นของสาขาสำนักงานใหญ่ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์นั่นเอง

หากมีโอกาสสามารถติดต่อกับทางธนาคารธนชาติเพื่อเข้าชมแบบหมู่คณะได้ ซึ่งจะได้เห็นเหล่าพญาครุฑมากมาย ที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ที่ “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” แห่งแรก..แห่งเดียวของไทย

 

 


LastUpdate 21/09/2556 12:36:09 โดย : Admin
15-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 15, 2024, 2:29 pm