การตลาด
ขนมขบเคี้ยวปรับแผนลุยต่างแดนลดรายได้เสี่ยง


 

ขนมขบเคี้ยวปรับแผนลุยต่างแดนลดรายได้เสี่ยง

จากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจ และการเมืองที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้  ส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจต้องหันไปพึ่งพาตลาดประเทศ  เพื่อหารายได้มาชดเชยกับตลาดในประเทศที่กำลังซบเซา  เนื่องจากผู้บริโภคยังคงระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย    จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ธุรกิจอาหารในกลุ่มสแน็ค หรือขนมขบเคี้ยวต้องปรับแผนรุก  หันไปขยายตลาดส่งออกมากขึ้น

ภูมิภาคที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารให้ความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้  คือ  ทวีปแอฟริกา  เพราะนอกจากจะมีความสมบูรณ์ในด้านของทรัพยากรธรรมชาติ  เพื่อรองรับการเข้าไปลงทุนของต่างชาติแล้ว  รัฐบาลของกลุ่มประเทศแอฟริกายังเปิดกว้างให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่  โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเกษตร  และอุตสาหกรรม

ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าว  บริษัท เฮอริเทจ สแน็ค แอนด์ฟู้ด จำกัดจึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าว  ด้วยการเข้าไปจับจองพื้นที่ทางการเกษตร  เพื่อปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์  เพื่อนำเมล็ดที่ได้มาผลิตเป็นสินค้า  เข้าทำตลาดในกลุ่มประเทศแอฟริกา  และกลุ่มประเทศในภูมิภาคยุโรป  เนื่องจากทั้ง 2  ภูมิภาคมีภูมิศาสตร์ใกล้เคียงกัน

นายวิทวัส  พลไพศาล  รองประธานกรรมการ บริษัท  เฮอริเทจ สแน็ค แอนด์ฟู้ด จำกัด  ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่าย


สแน็คคุณภาพทั้งในประเทศและส่งออก  กล่าวว่า  “บริษัทยังมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศแอฟริกา  ซึ่งประเทศที่ให้ความสนใจ คือ โมซัมบิก  และแทนซาเนีย  ด้วยการเข้าไปสัมปทานที่ดินกว่า 1 หมื่นไร่  เป็นระยะเวลา 50-60 ปี  เพื่อปลูกมะม่วงหิมพานต์ในกลุ่มประเทศดังกล่าว  เนื่องจากบริษัทมีแผนที่จะใช้ฐานการผลิตจากแอฟริกาทำตลาดภายในกลุ่มประเทศแอฟริกาและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก


นอกจากนี้  บริษัท เฮอริเทจฯ ยังมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศและตลาดส่งออกให้มากขึ้นจากปัจจุบันได้ส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดแล้ว  60 ประเทศ  ซึ่งกลุ่มประเทศที่บริษัท เฮอริเทจฯ จะหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นในปีนี้ คือ ภูมิภาคอาเซียน  เนื่องจากปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  ทำให้เกิดการรวมตัวทางด้านเศรษฐกิจและประชากรกว่า 600 ล้านคน  จึงทำให้บริษัท เฮอริเทจฯ เล็งเห็นโอกาสดังกล่าว

กลยุทธ์ที่บริษัท เฮอริเทจฯ จะนำไปบุกตลาดอาเซียน คือ การหันมาทำกิจกรรมการตลาดในประเทศไทย  เช่น การจัดชิม  และการทำโปรโมชั่น  เนื่องจากบริษัทจะใช้ไทยเป็นฐานในการทำตลาดกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียน  หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปสัมปทานปลูกมะม่วงหิมพานต์ในประเทศลาว  เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าป้อนตลาดในประเทศและการส่งออก


ปัจจุบันบริษัท เฮริเทจฯ มีฐานการปลูกมะม่วงหิมพานต์ใน 3 ประเทศ  คือ  จ.ระนอง ประเทศไทย  เมืองจำปาสัก  ประเทศลาว   ประเทศโมซัมบิก  และประเทศแทนซาเนีย ในแอฟริกา  ซึ่งหลังจากปรับแผนการดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศคาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้เกือบ 4,000 ล้านบาท เติบโตตรงตามเป้าหมายที่ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นรายได้จากการส่งออก 70% ในประเทศ 30%

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในประเทศช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา  บริษัท เฮอริเทจฯ มีรายได้เติบโต 10%  ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้น  ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่ไม่จำเป็น  ซึ่งขนมขบเคี้ยว(สแน็ค) ถือเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่ผู้บริโภคเลือกที่จะตัดค่าใช้จ่ายออกไป


จากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว  ส่งผลให้บริษัท เฮอร์เทจฯ ต้องปรับแผนการทำตลาดในประเทศ  ด้วยการหันมาเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้น  เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค  ซึ่งสินค้าใหม่ที่บริษัท  เฮอริเทจฯ ได้เปิดตัวเข้ามาทำตลาด คือ วันเดอร์พัฟป๊อป คอร์นและฟรังซัวร์  ขนมประเภทคุ๊กกี้  จากปัจจุบันมีสินค้าในเครือทำตลาดทั้งในและต่างประเภทอยู่กว่า 10 แบรนด์  เช่น บลูไดมอนด์ (อัลมอนต์) ,ซันคิสต์ (ถั่วพิทาชิโอ) ,นัทวอล์คเกอร์(ขนมขบเคี้ยว)  และเนเจอร์ เซนเซชั่น(ผลไม้แห้ง) เป็นต้น

ด้านนายสมชาย อัศวเศรณี ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่าย ภายใต้แบรนด์“โกริโกะ” กล่าวว่า “แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้  บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากขึ้น  เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ  เนื่องจากตลาดในประเทศมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้านไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ  หรือการเมือง  เห็นได้จากยอดขายในประเทศของบริษัทที่ปรับตัวลดลงถึง  30%

แผนการดำเนินงานดังกล่าวถือเป็นการกลับมารุกตลาดต่างประเทศอีกครั้งหลังจากก่อนหน้านี้  บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด  เคยให้ความสำคัญกับการทำตลาดต่างประเทศมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงกว่า  10 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งการกลับมาบุกตลาดต่างประเทศอีกครั้งนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป  บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด จำกัด  มั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะกลับมามีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 70%  อีกครั้ง  จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ  50%

กลุ่มประเทศที่บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด จำกัด ให้ความสนใจจะเข้าไปขยายตลาดมากขึ้นนับตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป คือ  ภูมิภาคอาเซียน  เนื่องจากปี   2558  จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจ และประชากรกว่า 600  ล้านคน  บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด  จำกัด จึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าว  จากปัจจุบันได้เริ่มส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศสิงคโปร์บ้างแล้ว

ปัจจุบัน บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด จำกัด  ได้ส่งออกอาหารประเภทสาหร่ายอบแห้งเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศแล้วกว่า  10 ประเทศทั่วโลก  เช่น  ไต้หวัน  ฮ่องกง  ออสเตรเลีย  อเมริกา  และกลุ่มประเทศในยุโรป  


นอกจากจะให้ความสำคัญกับธุรกิจด้านการส่งออกแล้ว  บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด จำกัด  ยังจะให้ความสำคัญกับการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ  ซึ่งกลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจ คือ  แอฟริกา  ในส่วนของธุรกิจที่จะเข้าไปดำเนินการคือ  โรงงานนมข้น  โดยในส่วนของสินค้าที่ผลิตได้จะเน้นทำตลาดในกลุ่มประเทศแอฟริกา  เช่นเดียวกับการสร้างโรงงานโยเกิร์ต

ส่วนแผนการทำตลาดในประเทศ  ปีนี้ บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด จำกัด ก็มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  โดยในส่วนของครึ่งปีหลังนี้  จะเน้นการขยายช่องทางจำหน่าย  เพื่อให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากที่สุด  ซึ่งแบรนด์สินค้าที่จะนำมาเป็นแม่ทัพในการทำตลาดในปีนี้ คือ  แบรนด์โกริโกะ(Koriko) เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่รู้จักสินค้าแบรนด์ดังกล่าวมากนักทั้งที่ทำตลาดมาเป็นระยะเวลานานแล้ว  

ล่าสุด  บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด  จำกัด ได้มีการเปิดตัวสาหร่ายปรุงรสตัวใหม่แบบแซนวิชชูจุดเด่น กรอบ ไม่ทอด ไร้ไขมัน เป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด   เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น   ซึ่งในส่วนของแบรนด์สินค้าที่จะนำมาทำตลาดมากขึ้นคือ  แบรนด์Twin Sheet , Mini Seaweed Roll  และ  Grill Seaweed Mini Pack มีขนาด 24 กรัม วางจำหน่ายในราคา 39 บาท/ซอง, และแบรนด์ Koriko Thai Rice Cracker สินค้าตัวนี้ตั้งเป้าหมายไปที่ส่งออกเป็นหลัก 

นายสมชาย  กล่าวต่อว่า  ทุกปีที่ผ่านมาบริษัทมีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาโดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะเปิดตัวสินค้าใหม่ในงาน Thaifexทุกๆปี ปีละ 2-3 ตัว   ซึ่งในส่วนของปีนี้ก็เช่นกัน   โดยหลังจากเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าทำตลาดในห้างสรรพสินค้าทั่วไป  บริษัทมั่นใจว่าในปีแรกของการทำตลาดน่าจะมียอดขายในช่องทางห้างค้าปลีกเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%

ขณะที่ภาพรวมรายได้สิ้นปีนี้  บริษัท เนเจอร์เบสท์ฟู้ด  จำกัด คาดการณ์ว่าจะมีรายได้อยุ่ที่  400-500  ล้านบาท เท่ากับปีที่ผ่านมา  เนื่องจากรายได้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีมีอัตราการเติบโตติดลบ  


จากการออกมาปรับแผนการดำเนินงานดังกล่าวของธุรกิจอาหารในกลุ่มสแน็ค  หรือขนมขบเคี้ยว  น่าจะพอกระตุ้นให้มีรายได้เติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น  เพราะถ้าหวังพึ่งแต่ประชากรไทย 60 กว่าล้านคนที่ยังระมัดระวังการใช้จ่าย  ภาพรวมรายได้คงดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง  และจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าก็น่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้ส่งออกยิ้มได้เพิ่มมากขึ้น

 


LastUpdate 24/05/2557 19:54:52 โดย : Admin
27-04-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ April 27, 2024, 8:28 am