การประชุมองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ธ.ค. 58 ที่ผ่านมา จบลงด้วยความน่าผิดหวัง และความร้าวฉานของประเทศสมาชิก หลังที่ประชุมไม่สามารถกำหนดเพดานการผลิตน้ำมันได้

โดยสาเหตุหลักเกิดจากประเทศอิหร่าน ที่ยืนกรานจะเร่งเครื่อง ผลิตน้ำมันให้ได้ปริมาณเท่ากับช่วงก่อนที่จะถูกสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดมีมากกว่าความต้องการผลิต ทั้งที่ปัจจุบัน ปริมาณน้ำมันล้นตลาด จนช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันลดลงกว่าครึ่ง

โดยเลขาธิการใหญ่โอเปก นายอับดุลลาห์ อัล-บาดรี ระบุว่า ที่ประชุมไม่สามารถกำหนดเพดานการผลิตได้ เพราะยังคาดเดาไม่ได้ว่า อิหร่านจะผลิตน้ำมันเข้าตลาดโลกเท่าไหร่ในปีหน้า ขณะที่รัฐมนตรีน้ำมันอิหร่านเคยประกาศว่า หลังสหรัฐฯ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร อิหร่านจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เป็นอย่างน้อย 1,000,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 1% ของน้ำมันโลก แม้ว่าปัจจุบัน มีน้ำมันโลกล้นตลาดเฉลี่ย 2,000,000 บาร์เรลต่อวัน

ด้าน ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มที่น้ำมันจะล้นตลาดมากขึ้น ราคาอาจดิ่งตัวลงต่ำถึง 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ส่วนมุมมอง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ก็มีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2557 และราคายังปรับลดต่ำลงอยางต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (4 ธ.ค.) ที่ 38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบทุกตลาดก็ลดต่ำลง อันเป็นผลมาจากกังวลเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากความไม่สงบจากการก่อการร้ายในหลายพื้นที่ ,ปัญหาน้ำมันล้นความต้องการ และปัญหาความคิดเห็นที่แตกแยกของกลุ่มโอเปก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปิดตลาดปีนี้มีราคาต่ำ และอาจทำให้หน่วยธุรกิจน้ำมันของปตท.ขาดทุนสต็อกกว่า 1,000 ล้านบาท

และคาดว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบปีหน้า จะไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก เพราะกำลังการผลิตยังล้นตลาด และค่าการตลาดน่าจะอยู่ในระดับเดิม ส่วนปริมาณการใช้น่าจะเติบโตร้อยละ 2 - 3 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่นโยบายลดประเภทน้ำมันในกลุ่มเบนซินที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการอยู่ ทาง ปตท.พร้อมปฏิบัติตาม แต่การจะหยุดจำหน่ายน้ำมันประเภทใด ก็ควรคำนึงถึงผลกระทบรถเก่าด้วย